วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

บทวิจารณ์หนัง DELIVER US FROM EVIL และหนังเรื่อง Underworld เตรียมรีบูตยกเครื่องใหม่



บทวิจารณ์หนัง DELIVER US FROM EVIL




จากสิ่งที่เราพอจะหยิบมาอธิบายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังอย่าง DELIVER US FROM EVIL นั้นคือมันมีบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจและมีสภาพหลอกหลอนคนดูอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งหนังยังใช้การเร้าอารมณ์ผู้ชมด้วยการโจมตีด้วยซาวน์โครมครามหูแตก จนทำให้คนดูผวาไปตามๆกัน

โดยที่เรื่องราวในหนังบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตำรวจนิวยอร์กชื่อว่า ซาร์ซี่ ที่ได้รับบทโดยอีริค บานา เขาเป็นตำรวจที่ทุ่มเทเวลาให้กับหน้าที่การงานจนทิ้งครอบครัวเอาไว้เบื้องหลัง เขามีเซนส์บางอย่างที่ไวต่อเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับอาชญากรอย่างไม่น่าเชื่อ เขามีคู่หูในการออกปฏิบัติภารกิจอย่างบัทเลอร์ ที่ได้รับบทโดย โจเอล แม็คเฮล ตำรวจที่ดูถนัดในเรื่องการลงไม้ลงมือก่อนที่จะใช้ความคิด 




ทางด้านชีวิตครอบครัวของซาร์ซี่ก็ดูลุ่มๆดอนๆโดยเฉพาะช่วงเวลาระยะหลังๆที่เขาเหมือนจะทุ่มเทให้กับงานจนลืมให้เวลากับลูกสาว แสดงโดย ลูลู่ วิลสัน และภรรยาแสดงโดย โอลิเวีย มุนน์ ซึ่งคดีที่เขาจะต้องเข้าไปพัวพันด้วยครั้งนี้เขาตะต้องไปสืบคดีแถวๆย่านบรองซ์ที่มีสภาพสกปรกและดูทึมๆ บรรยากาศไม่ค่อยน่าไว้วางใจและเอื้อต่อการเกิดอาชญากรรมอยู่ไม่น้อย

ในระหว่างที่สืบคดีประหลาดอยู่นั่นเอง ทั้งสองตำรวจคู่หูก็เริ่มสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลของแต่ละเหตุการณ์ ซึ่งคดีทั้งสามนั้นล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นอย่างน่าประหลาด ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีทั้งเรื่องของอดีตทหารผ่านศึกจากประเทศอิรักที่มักจะซ้อมภรรยาของตัวเอง แต่ว่าช่วงเวลาที่ทำคดีอยู่นั้นเขาก็ต้องแวะไปทำอีกคดีเมื่อมีหญิงสาวเสียสติโยนลูกของตัวเองเข้าไปในกรงสิงโตในสวนสัตว์ และเธอก็เหมือนมีอาการทางจิตอยู่กลายๆ ทว่าคดีทั้งสองยังไม่ทันจะคลี่คลาย ทั้งสองก็ได้รับแจ้งเพิ่มเติมอีกว่าครอบครัวชาวอิตาเลียนครอบครัวหนึ่งได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากใต้ถุนบ้านหลังจากที่เขาได้เรียกช่างประปามาซ่อม


และเมื่อไม่นานนักซาร์ซี่ก็มองเห็นความเชื่อมโยงบางประการของคดีทั้งสาม ว่าคดีทั้งหมดนั้นเกี่ยวพันกับนายทหารทั้งสามคนที่ได้ไปพบกับคำสาปประหลาดในถ้ำของอิรักและมันก็เหมือนจะติดตัวพวกเขากลับมา ระหว่างที่ซาร์ซีกำลังมืดแปดด้านเขาก็ได้พบกับนักบวชนิกายคาทอลิกที่ติดบุหรี่อย่างหนัก โจ เมนโดซ่า หรือ เอ็ดการ์ รามิเรซ ที่น่าจะเป็นความหวังที่ช่วยไขปริศนาที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนเมื่อทุกอย่างเริ่มจะคลี่คลายซาร์ซี่ก็พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้สามารถใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย แต่เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ล้วนๆ 



ทางด้านผู้กำกับสก๊อตต์ เดอร์ริคสัน ผู้ผ่านผลงานอย่าง 1.Sinister, 2.The Exorcism of Emily Rose นั้นถือได้ว่าเขาแม่นยำในการจับจังหวะที่จะเร้าอารมณ์ของผู้ชมได้ไม่เลว การใช้เทคนิคการถ่ายภาพที่ค่อนข้างหลากหลายมุมมองยิ่งเร้าจินตนาการและสร้างความน่าหวาดผวาให้กับผู้ชมได้ไม่เลว เหตุการณ์น่ากลัวมากมายที่เกิดขึ้นในเรื่อง บอกได้ว่าค่อนข้าง “น่ากลัว” 

ซึ่งในขณะเดียวกันเมื่อร้อยทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ในพาร์ทดราม่าของตัวหนังกลับดูน่าเบื่อ แห้งแล้งไร้มิติ และความล้นๆของฉากสยองขวัญบางฉากที่ดูไม่มีความจำเป็นต่อตัวหนังเท่าที่ควร จนดูเหมือนถูกใส่เข้ามาเพื่อโจมตีให้คนดูตกใจเล่นแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวหนังอีก

สำหรับตัวหนัง เอาเข้าจริงๆหนังก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สำหรับแนวทางของหนัง “ไล่ผี” แต่หนังกลับหยิบลูกเล่นในแนวทางหนังตำรวจ-สืบสวนสอบสวน เข้ามาเพิ่มอรรถรสในการทำให้ผู้ชมสนุกไปกับการสืบคดีของพระเอก แต่น่าเสียดายมาก เมื่อเหตุผลทุกอย่างในการทำคดีของเขาถูกหักล้างด้วยแนวคิดแบบไสยศาสตร์ จนคนดูรู้สึกได้เลยว่าตลอดเวลา 1 ชั่วโมงที่เขาดูมานั้นช่างสูญเปล่าในการทำความเข้าใจกับหนังซะเหลือเกิน

มอบให้ 3 คะแนนจาก 5 คะแนน

@พริตตี้ปลาสลิด



ไม่จบสักทีหลัง Underworld เตรียมรีบูตยกเครื่องใหม่



เรียกได้ว่าเป็น มหากาพย์แฟรนชายส์แวมไพร์สาวกับชุดรัดรูปโปรแกรมหนังเตรียมยกเครื่องใหม่กันอีกรอบ ซึ่งโครงการในการยกเครื่องหนังเรื่องนี้ใหม่นั้นอาจจะวางตัวมือเขียนบทเอาไว้ที่คอรี่ กู๊ดแมน ซึ่งตัวหนังในภาครีบูตนั้นทางสตูดิโออย่างสกรีน เจมได้ตั้งชื่อไว้ว่า Underworld: Next Generation ซึ่งเลนส์ ไวส์แมนจะรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ของเรื่อง ซึ่งว่ากันว่าโครงเรื่องคร่าวๆนั้นจะโฟกัสไปที่อีฟ ลูกผสมระหว่างแวมไพร์กับหมาป่า ลูกผสมนี้เกิดขึ้นจาก เซลีน แสดงโดย เคท แบคคินเซล และไมเคิล  แสดงโดย สก็อต สปีดแมน ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในช่วงปี 2012 นั้นตัวเคตเองได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเอาไว้ว่า “โครงการภาคแยกนั้นอาจจะเกิดขึ้น ซึ่งไม่มีฉันอยู่ในเรื่องราวนั้น



ลองย้อนกลับไปตอนปี 2003 Underworld ได้แนะนำตัวละครอย่างเซลีนให้กับคนทั้งโลกได้รู้จักแวมไพร์สาวที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่น ร้อนแรงไม่เหมือนใคร เธอปรากฏตัวขึ้นในชุดหนังสีดำเงาวับ พร้อมกับปูตำนานเรื่องราวสดใหม่ว่าด้วยสงครามอันยาวนานระหว่างแวมไพร์กับไลเคนส์ ซึ่งระหว่างที่เซลีนได้ทำภารกิจของเธออยู่นั้น เธอเองก็ได้พบรักเข้ากับไมเคิล มนุษย์ธรรมดาที่ถูกไลเคนส์กัด



และสำหรับความสำเร็จของหนังภาคแรกทำให้เกิดหนังภาคต่อออกมาในชื่อ Underworld: Evolution ในปี 2006 และมีภาคก่อนหน้า Prequel ตามออกในปี 2009 ในชื่อตอน Underworld: Rise of the Lycans โดยที่ภาคนี้ไม่มีนักแสดงนำสาวสวยอย่างเคต แบคคินเซล มารับบท เซลีนด้วย



สำหรับความโดดเด่นของแฟรนชายส์ชุดนี้คือการผสมผสานแนวทางหนังหลายหลากเอาไว้ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นแนวสยองขวัญ-แอ็คชั่นและระทึกขวัญ ก่อนที่ปี 2012 Underworld: Awakening จะพาเคต แบคคินเซล กลับมารับบทเป็นเซลีนอีกครั้ง ด้วยการที่เล่าพล็อตเรื่องว่านางเอกของเราถูกแช่แข็งข้ามยุคสมัยและตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งก็โดนโจมตีจากแฟนหนังและนักวิจารณ์ว่าพล็อตเรื่องนี่ไม่รู้จะคิดอะไรใหม่แล้วจริงๆหรืออย่างไรกัน แต่ว่าตัวหนังก็โกยเงินไปทั่วโลก 160 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 70 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเครื่องในการการันตีว่ายังมีแฟนคลับของหนังเรื่องนี้รอคอยหนังภาคใหม่ของมันอยู่นั่นเอง




หนังเรื่อง Exists บิ๊กฟุตผ่านกล้องสุดสยอง



สำหรับหนังเรื่อง Exists นั้นบอกเล่าเรื่องราวของเพื่อนห้าคนที่เดินทางไปพักแรมที่กระท่อมกลางป่า โดยระหว่างที่เดินทางนั้นพวกเขาได้บันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างทางเอาไว้ กล้องของพวกเขามีความไฮเทคล้ำสมัยมากๆ และเป้าประสงค์สำคัญของพวกเขาก็คือการอยากจะค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องตำนานของสัตว์ประหลาดในตำนานอย่างบิ๊กฟุต แต่แล้วสิ่งที่เขาได้พบก็คือสัตว์ประหลาดที่เขาอยากจะพบเจอนั้นไม่ได้เป็นมิตรและพร้อมจะไล่ล่าพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย



และตัวหนังที่กำกับโดย เอดูอาร์โด ซานเชซ ซึ่งเขาเป็นผู้กำกับที่ประเดิมหนังเรื่องแรกด้วยการสร้างปรากฏการณ์ในกับปลายยุค 1999 กับหนังเรื่อง The Blair Witch Project ซึ่งเป็นหนังที่ปลุกกระแสให้ภาพยนตร์แนว “ฟุตเทจมรณะ” หรือ Found-Footage ให้ได้กลายเป็นกระแสและสร้างนิยามใหม่ให้หนังสยองขวัญ ที่ไม่ต้องมีฉากนองเลือด ไม่ต้องมีผี – สัตว์ประหลาดและความรุนแรงใดๆเลย แต่สามารถสร้างความน่ากลัวในระดับสุดยอดได้ เมื่อผู้ชมต้องจินตนาการไปถึงการมีอยู่ของ “แม่มดแบลร์” ที่ขนาดดูจบเรื่องแล้วเราก็ไม่ได้เห็นกระทั่งตัวแม่มด



โดยที่ตัวของ เอดูอาร์โด ซานเชซ อยากจะเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับตำนานบิ๊กฟุต เขาจึงหยิบเรื่องราวนี้มาสร้างเป็นหนัง แต่เขาก็รอเวลามานานมาก เพราะเขาอยากจะทำหนังเรื่องนี้ตั้งแต่อายุ 12 เอาเข้าจริงแล้วตัวหนังก็เล่าเรื่องตามสูตรสำเร็จของคนกลุ่มหนึ่งที่เดินทางเข้าป่ากันไปก่อนจะได้พบกับการจู่โจมของสัตว์ร้าย และที่สำคัญก็คือความเป็นเอกลักษณ์ของสัตว์ประหลาดตัวนี้มันอยู่ที่ว่ามันก็ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์มากๆ แต่มันไม่ใช่มนุษย์




และตลอดการถ่ายทำนั้นเอดูอาร์โด ซานเชซมองว่าบิ๊กฟุตเป็นเหมือนตัวละครมนุษย์ตัวหนึ่ง ที่มีหัวจิตหัวใจไม่ได้จ้องแต่จะฆ่ามนุษย์อย่างไร้เหตุผลตามประสาปีศาจในหนังสยองขวัญ การถ่ายทำในป่านั้นมีทั้งในโซนป่าและกระท่อมซึ่งจะสร้างบรรยากาศความน่าสะพรึงและขนหัวลุกได้ตลอดเวลา ประกอบกับการเล่าเรื่องแบบกล้องแฮนด์เฮลด์แล้ว ยิ่งสร้างความน่าหวาดวิตกให้กับผู้ชมได้ดีไม่แพ้หนัง The Blair Witch Project เลยครับ





ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Exists



ล่าสุดเมื่อเรือรบอวกาศยามาโตะ กำลังทำเป็นหนังฮอลลีวู้ดแล้ว




สำหรับเรื่อง เรือรบอวกาศยามาโตะ หรือ Space Battleship Yamato นั้นเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นของ Academy Productions เก่าแก่ที่ฉายไปตั้งแต่ปี 2517 ก่อนผมเกิดอีก แต่ก็ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและในต่างประเทศ โดยได้มีการฉายให้ชมกันอยู่แม้ว่าภาพจะค่อนข้างเก่าแล้วก็ตาม ต่อมาในปี 2010 ก็เลยมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ทั้งแบบอนิเมั่นและแบบคนจริงแสดง ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Yoshinobu Nishizaki โปรดิวเซอร์คนเก่าของเรื่องได้เสียชีวิตลง จึงทำให้ Shoji Nishizaki รับหน้าที่โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์แทน ซึ่งภาพยนตร์ Space Battleship Yamato ก็ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากพระเอกสุดหล่อมาแรง Takuya Kimura ที่มีชื่อเล่นว่าคิมุทาคุ



ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นเท่านั้นที่ชื่นชอบภาพยนตร์ เรือรบอวกาศยามาโตะ ที่ต่างประเทศก็ได้รับความนิยมมากเหมือนกัน โดยต่างประเทศจะรู้จักเรื่องนี้ในชื่อว่า Star Blazers เป็นชื่อที่ใช้สำหรับฉายเรื่องนี้ในต่างประเทศมาแต่แรกแล้ว 

เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นการนำเอาของญี่ปุ่นมาเปลี่ยนชื่อเรื่อง เปลี่ยนการพากย์และเนื้อหานิดหน่อยฉายให้ชมเท่านั้น ตอนนี้ทางฮอลลีวู้ดสนใจที่จะนำเรื่องนี้มาถ่ายทำด้วยตัวเองแล้ว โดยทีมงาน Skydance Productions ที่เป็นสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดัง โดยผลงานที่ผ่านมาก็คือเรื่อง 
  1. Mission: Impossible 
  2. World War Z 

และได้เปิดเผยโปรเจคภาพยนตร์ Star Blazers เป็นทางการ โดยให้ผู้กำกับ Christopher McQuarrie รับหน้าที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Star Blazers แต่โปรเจคยังไม่เริ่มตอนนี้ เพราะ Christopher McQuarrie ยังคงติดงานถ่ายทำภาพยนตร์ Mission: Impossible 5 อยู่ ซึ่งจะเสร็จในปีหน้า หลังจากนั้นจึงจะเริ่มถ่ายทำ Star Blazers



และทางผู้กำกับ Christopher McQuarrie ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขายินดีมากที่ได้เป็นคนกำกับการสร้างภาพยนตร์ Star Blazers เพราะว่าเป็นการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่เขาชอบมาก โดยเขาชอบตัวละคร จูโซ โอคิตะ กับตัน เรือยามาโตะ และ ฮาจิเมะ ไซโต้ ที่เป็นกัปตันกองกำลังพิทักษ์โลก 

โดยที่เขาตั้งใจจะทำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ดีที่สุด แล้วไปฉายให้คนญี่ปุ่นที่เป็นประเทศบ้านเกิดของเรื่องนี้ได้ชมกันด้วย ส่วนเรื่องกำหนดฉายนั้น ทางคุณ David Ellison CEO ของ Skydance Productions คาดว่าจะฉายได้ภายในปี 2017 ไม่ก็ 2018



หนังเรื่อง Space Battleship Yamato หรือ Star Blazers เป็นภาพยนตร์สงครามอวกาศ เรื่องราวการต่อสู้ของมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว "กามิลัส" ที่ยกกองทัพบุกเข้ามายังระบบสุริยะจักรวาล และให้มนุษย์โลกยอมจำนนด้วยการเป็นทาส แต่มนุษย์โลกไม่ยอมพวกกามิลัสจึงให้อุกกาบาตกัมมันตรังสีถล่มใส่โลกเพื่อล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ จนทำให้โลกเสื่อมโทรม แต่ก็ยังมีมนุษย์ที่เหลือรอดได้ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ใต้ดิน และก่อตั้งกองกำลังพิทักษ์โลกขึ้นต่อสู้ แต่ก็สู้ไม่ได้ สุดท้ายก็เลยนำเอาเรือรบยามาโตะที่จมลงเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองมาดัดแปลงใหม่ ให้กลายเป็นเรือรบอวกาศเพื่อให้อพยพมนุษย์หนีกัมมันตรังสีบนโลกไปสู่อวกาศ และต่อสู้กับพวกกามิลัส


ติดตามชม หนังมาใหม่ เช็ครอบหนัง เพิ่มเติมได้ที่ http://movie.sanook.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น