วิจารณ์หนังใหม่ The Amazing Spider-Man 2
ถึงแม้ว่า
The Amazing Spider-Man
จะเป็นการรีบูตเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่ฝั่งมาร์เวลที่ครองใจคนดูทั้งโลกจน
แทบจะขึ้นแท่นซูเปอร์ฮีโร่อันดับต้นๆ น้อยคนนัก จะไม่รู้จักกับ
"ไอ้แมงมุม" อย่างไรก็ตามผลงานของ
หนังภาคแรกกลับโดนโจมตีค่อนข้างหนัก เมื่อมันถูกนำไปเปรียบเทียบกับผลงานการกำกับของ
แซม เรมี่ กับ
Spider-Man นำแสดงโดย
โทบี้ แมคไกวร์ ซึ่งแพคเกจคู่มากับวรรคทอง
"อำนาจอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง" ที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวของคนที่โตมากับหนังในยุค 2000
Spider-Man ภาคที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุดก็คือ Spiderman 2 ซึ่งหนังภาคนี้ยังคว้ารางวัลออสการ์สาขาวิชวลเอฟเฟค มานอนกอด 1 รางวัลด้วย อย่างไรก็ตามที Spiderman 3 ก็กลับโดนด่าจากนักวิจารณ์และผู้ชมถึงประเด็นเรื่องตัวร้ายที่มีจำนวนเยอะจนเกินไป เพราะมีทั้ง แซนด์แมน, วีนอม และ กรีน ก๊อบลิน
อัดแน่นเต็มไป อีกทั้งยังเป็นภาคแรกที่ตัวละคร "เกวน สเตซี่"
ปรากฏตัวอยู่ในเรื่องเป็นครั้งแรกและเดินเรื่อง “ไม่ตรง”
ตามหนังสือการ์ตูนเลยสักนิดเดียว
ในปี 2012 The Amazing Spider-Man
เป็นการหยิบเอาสไปเดอร์แมนเอามารีบูตเรื่องราวใหม่
โดยพยายามให้โครงเรื่องมีความใกล้เคียงกับตัวหนังสือการ์ตูนมากที่สุด ซึ่ง ปีเตอร์ พาร์คเกอร์(แอนดรูวส์ การ์ฟิลด์) ยังเป็นนักเรียนไฮสคูล ระหว่างที่เขากำลังพยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อตัวเองอย่าง ริชาร์ด พาร์คเกอร์(แคมป์เบลล์ สกอตต์) โดย
การเดินทางเข้าไปยังบริษัทออสคอร์ป
ทว่าระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นปีเตอร์ได้พลัดหลงเข้าไปในห้องทดลองจนโดน
แมงมุมกัดและทำให้เขามีพลังพิเศษสามารถปล่อยใยแมงมุมและมีพละกำลังที่แข็ง
แกร่งกว่าปกติ แต่แล้วดร.เคิร์ท
คอนเนอร์ได้ทำการทดลองจนทำให้ตัวเองกลายร่างเป็นกิ้งก่า
ร้อนถึงสไปเดอร์แมนที่ต้องออกมาปราบวายร้ายตนนี้
ปัญหาของ
หนังภาคแรกอยู่ตรงที่ว่า
หนังเกริ่นประเด็นเยอะแยะมากมายเอาไว้จนหนังดูเนิบนาบและน่าเบื่อพอสมควร
การปูเรื่องเหตุการณ์ต่างๆดูไม่ค่อยไหลลื่นเท่าไหร่
แต่โชคดีอยู่ไม่น้อยที่เคมีระหว่างคู่พระนางของเรื่องอย่าง
แอนดรูวส์ การ์ฟิลด์ ดันคลิ๊กกับ
เอ็มม่า สโตน จนสปาร์คกันนอกจอพวกเขาก็ได้คบหาเป็นหวานใจของกันและกัน
The Amazing Spider-Man 2 ก็ยังไม่สามารถเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความล้ำลึกสักเท่าไหร่ จริงอยู่ที่ผู้กำกับอย่าง มาร์ค เว็บบ์ นั้นเคยกล่าวเอาไว้ว่า
"The Amazing Spider-Man นั้นจะเน้นความเป็น "วัยรุ่น" ของปีเตอร์
ปาร์กเกอร์เป็นหลัก
ดังนั้นพวกคุณจึงควรเลิกเอาหนังของผมไปเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นเก่าได้แล้ว"
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่ามันเทียบได้หรือไม่ได้
ทว่าเรื่องของเรื่องก็คือการเขย่าเรื่องราวหลักและรองในหนังภาคที่ 2 นี้่
ยังหาจุดลงตัวของเรื่องไม่เจอ
เนื่องจากตัวหนังมีซับพล็อตปลีกย่อยที่เยอะแยะเต็มไปหมด
ประหนึ่งว่าผู้กำกับเกิดอาการรักพี่เสียดายน้องเลยยัดทุกประเด็นเข้ามาหมด
จนตัวหนังลากยาวไปถึง 142 นาที ซึ่งยาวที่สุดในประวัติศาสตร์หนังตระกูล
Spider-Man ทุกภาคเลยก็ว่าได้
แม้วายร้ายตัวหลักของหนังภาคนี้อาจจะเน้นไปที่ตัว อิเล็กโตร (เจมี ฟอกซ์) แต่การกระจายบทให้วายร้ายตัวรองอย่าง กรีน ก๊อบลิน(เดน เดอฮาน) และ ไรห์โน (พอล จิอาแมตติ)
ดูเป็นความพยายามที่ "เกินพอดี" เพราะทำให้หนังเหมือนกับมีไคลแมกซ์ 3 รอบ
(ซึ่งทำให้ผู้ชมเหมือนหาจุด "ฟิน" ไม่เจอ
ว่าสรุปแล้วนี่หนังมันใกล้จะจบหรือยัง เอ๊ะนี่มันก็เหมือนจบไปแล้วนี่
ทำไมมันยังมีต่ออีกยาวเลยล่ะ อะไรแบบนี้)
ยิ่งไปกว่านั้นความพยายามที่จะทำให้
สไปเดอร์แมนภาคนี้มีความ "เกรียน" มากขึ้น กลับยิ่งทำให้เรารู้สึกถึง
"ความพยายาม" ในการแสดงให้ตลกของแอนดรูวส์
การ์ฟิลด์ที่ดูประดิษฐ์จนแห้งแล้งความเป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์แบบในภาคแรก
ความสัมพันธ์ระหว่างปีเตอร์
พาร์คเกอร์และเกวน สเตซี่ในภาค 2 นี้เราคงต้องนิยามให้ว่านี่คือสภาวะ
"เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเลิก" กันอย่างแท้จริง
เนื่องจากสัญญาที่ปีเตอร์ที่ให้ไว้กับพ่อของเกวน
ว่าจะไม่ดึงเธอเข้ามาพัวพันกับอันตราย
และคำมั่นที่เขาเคยให้ไว้กับพ่อของเกวนก็ตามหลอกหลอนตัวเขาเองอยู่เรื่อยมา
ความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆนี้เองที่ทำให้เขาเลือกจะ "ถอย" จากเกวนหลายครั้ง
จนตัวเกวนทนไม่ไหวและตัดสินใจบอกเลิกกับปีเตอร์ด้วยตัวเธอเอง
จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ลุ่มๆดอนๆนี้ยัง
เป็นผลที่ทำให้ปีเตอร์คิดทบทวนถึงความเหมาะสมในการใช้ชีวิตเพื่อช่วยเหลือคน
อื่นตลอดเวลา เมื่อเขามองย้อนกลับมาที่ตัวเอง
อดีตการตายอันดำมืดของพ่อและแม่ทำให้ปีเตอร์ค้นหาความจริงและค้นพบว่า
"สิ่งที่พ่อเหลือไว้"
คือความยิ่งใหญ่ทางพันธุกรรมและอาจจะเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวหากสิ่งดัง
กล่าวตกไปอยู่ในมือคนชั่ว
เหตุการณ์ย่อยๆในหนังภาคนี้ที่เราได้เห็น
อาทิเช่น การเคลื่อนไหวภายในองค์กรออสคอร์ป(ทั้งคนในองค์กร,
การหักหลังชิงดีชิงเด่น, สิ่งที่องค์กรนี้พยายามปกปิดซุกซ่อน),
กะเทาะเปลือกตัวละครต่างๆอาทิ ปีเตอร์, เกวน, เฮนรี่ ออสบอร์น, ป้าเมย์
ให้เราเห็นถึงสภาวะที่ไม่มั่นคงทางอารมณ์ของพวกเขา,
ความลับของพ่อและแม่ปีเตอร์, เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด (ปีเตอร์และแฮร์รี่)
ซึ่งประเด็นที่มากมายเหล่านี้ถูกจับยัดเข้ามาในหนังจนยุ่งเหยิงอีรุงตุงนัง
เต็มไปหมด คอการ์ตูนคอมมิกซ์อาจจะฟิน แต่บรรดาคอหนังอาจจะรู้สึกจุกจนสำลัก
อย่างไรก็ตามทีฉากต่อสู้ในเรื่องอาจจะน่า
จดจำน้อยกว่าฉากกล่าวสุนทรพจน์ของเกวน
สเตซีที่เธอกล่าวไว้ในวันจบการศึกษาและถูกหยิบนำมาพูดอีกครั้งในตอนจบ
ซึ่งเธอว่าเอาไว้โดยสรุปดังนี้ "อนาคตเป็น
สิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นสำคัญที่สุด จงอย่าใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น
แต่จงทำตัวเองให้มีคุณค่าเพื่อบางสิ่งอย่าง สู้เพื่ออะไรบางอย่าง
และไม่ว่าคุณจะล้ม
แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลงมือทำมันและก็คุ้มค่ากับการใช้ชีวิตแล้ว"
อย่างน้อย เกวน สเตซี่ ก็พิสูจน์ให้เราเห็นว่า ถึงแม้ชีวิตเราจะสั้นแค่ไหนก็ตาม จงมีความสุขกับ "วันนี้" มากกว่า "พรุ่งนี้"
ยกให้ 3 คะแนนจาก 5 คะแนน
@พริตตี้ปลาสลิด