วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

วิจารณ์หนังมาใหม่เรื่อง BOYHOOD ที่เข้าฉายอยู่ในโรง

วิจารณ์หนังเรื่อง BOYHOOD

 

สำหรับหนังเรื่อง BOYHOOD นั้นน่าจะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีภาษีดีเพียงพอที่จะเข้าชิงรางวัลตามสถาบันภาพยนตร์ต่างๆในช่วงปลายปี หน้าหนังของมันอาจจะไม่ได้เชิญชวนแขกมากนัก โดยเฉพาะคนที่กลัวว่าหนังจะออกมาน่าเบื่อ อันที่จริงแล้วแรกเริ่มเดิมที ตัวผมเองก็คิดเช่นนั้นว่าหนังความยาวร่วม 3 ชั่วโมง เล่าเรื่องราวการเติบโตของชีวิตเด็กสักคนหนึ่งมันจะไปหา ด้านความบันเทิง ได้ตรงไหนกันเชียว แต่เมื่อได้พิสูจน์กับตาแล้วก็พบว่าตัวเองค่อนข้างคิดผิด

โดยที่ตัวเรื่องราวของ BOYHOOD นั้นใช้กระบวนการถ่ายทำที่อาจจะกล่าวได้ว่า หนังมาใหม่เป็นผลงานทดลองที่ใจกล้าบ้าบิ่นพอดู ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าของ ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ เมื่อผู้กำกับเลือกจะใช้กลวิธีทาบทามนักแสดงและทีมงานชุดหนึ่งที่มีโอกาสร่วมงานกันได้ โดยทุกๆหนึ่งปีพวกเขาก็จะกลับมารวมตัวกันเพื่อถ่ายทำหนังเป็นเวลาประมาณ 3-4 วัน แน่นอนว่ามันไม่มีหลักประกันใดเลยที่จะการันตีได้ว่า ทีมงานทั้งหมดในเรื่องนี้ พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างตลอด 12 ปี ทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่สามารถพยากรณ์ความผันแปรต่างๆได้เลย และจะว่าไปแล้วเรื่องของความเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นสารัตถะที่สำคัญที่สุดของหนังนั่นเอง




เพียงแค่ 10 นาทีแรกของเรื่อง ผู้กำกับอย่าง ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ ก็ไม่รอช้า จับเสน่ห์ของนักแสดงเด็ก เอลลาร์ โคลเทรนผู้รับบท เมสัน เด็กชายที่กำลังจะเติบโตขึ้นและกลายไปเป็นผู้ใหญ่ ได้ออกมาน่ารักน่าชังและทำให้เราเริ่มสนใจ เรื่อง ชีวิต ของเด็กชายคนหนึ่งในสภาพครอบครัวที่ดูจะไม่ค่อยสมบูรณ์แบบนัก


ซึ่งจริงอยู่ที่หลายฉากหลายตอนในเรื่องดูเหมือนจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรสักเท่าไหร่ หลายฉากในหนังบอกเล่าช่วงเสลาที่ตัวละครออกไปเล่นโบว์ลิ่งกับครอบครัว, พี่สาวแกล้งน้องชาย, การนั่งทานข้าวของครอบครัว แต่ฉากที่ดูไม่มีอะไรเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่ถ่ายทอดสภาพอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครเมสันและผู้คนแวดล้อมตัวเขาเองในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต




โดยที่การได้เติบใหญ่ขึ้นของตัวละครอย่างเมสันถูกบอกเล่าผ่านงานภาพ ซึ่งในแต่ละปีนั้นผู้กำกับริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ ก็ฉวยจับเอาวัฒนธรรมรอบตัวละครไม่ว่าจะเป็น
  • เพลง
  • ภาพยนตร์
  • บริบทที่ร่วมกับยุคสมัยใส่เข้ามาเพื่ออธิบายเรื่องของ กาลเวลา ได้อย่างแม่นยำ 

ซึ่งนั่นก็ถือได้ว่ามันเป็นความสนุกอย่างหนึ่งที่เราได้ร่วมย้อนกาลเวลาโดยได้สัมผัสกับการ ทาย ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในเรื่องว่ามันเป็นปี คศ. อะไร นอกเหนือไปจากบริบทแวดล้อม การเติบโตขึ้นของตัวละครก็ถูกถ่ายทอดออกมาทาง ร่างกาย ที่เราจะได้เห็นเมสันค่อยๆเปลี่ยนแปลงจากเด็กชายไปสู่ วัยรุ่น นั่นเอง โดยฉากเหล่านี้ไม่ได้มีการบอกผู้ชมออกมาโต้ง ๆ ว่าเขาอายุเท่าไหร่แล้ว แต่ทุกครั้งที่หนังตัดภาพจากฉากหนึ่งไปสู่อีกฉากหนึ่งเราจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร ไม่เพียงแค่เมสันเท่านั้น แต่ตัวละครอื่นๆในเรื่องก็ โต ไปพร้อมๆกับเมสันด้วยเช่นกัน



โดยที่ชีวิตและความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่เราไม่อาจจะคาดเดาหรือยึดมั่นกับมันได้ แน่นอนว่าในชีวิตของเมสันเราจะได้เห็นช่วงเวลาทั้งดีและร้ายคละเคล้าสลับกันไป ชีวิตครอบครัวที่ดูเหมือนแตกสลาย – กลับมาสมบูรณ์ และกลับมาแตกสลายอีกครั้ง ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างปกติโดยที่ผู้กำกับไม่ได้พยายามเน้นย้ำหรือเร้าอารมณ์ในจุดที่เมสันจะต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง การถ่ายทอดงานด้านภาพของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความ เข้าใจ ในความผันแปรของชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าถึงชีวิตปกติของเราอาจจะไม่ได้เหมือนเมสันไปร้อยทั้งร้อย แต่ตัวละครเมสันกลับกลายเป็น ตัวแทน หรือ Represent มนุษย์ทุกคนได้ในแง่ของความไม่แน่นอนของชีวิต




ซึ่งจากเด็กชายเมสันสู่ชายหนุ่มที่ชื่อเมสัน ตลอดระยะเวลา 12 ปีนั้นเขาได้เดินทางและสั่งสมประสบการณ์ชีวิต หล่อหลอมให้เขากลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์คนหนึ่ง แต่ความสมบูรณ์ที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สิน เงินทองหรือความสุขเท่านั้น ความผิดพลาด ผิดหวังล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งได้เรียนรู้คุณค่าของชีวิต



โดยที่รอบหนังเรื่อง Boyhood จึงเป็นหนังที่เรากล่าวได้ว่ามันเริ่มต้นด้วยการถ่ายทอดชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ผ่านเหตุการณ์ตลอดเวลา 12 ปี แต่ท้ายที่สุดแล้วมันได้นำพาผู้ชมร่วมขบคิดและย้อนกลับมามองชีวิตตัวเองว่า คุณค่า ของการมีชีวิตอยู่นั้นคืออะไร

การให้ 5 คะแนนจาก 5 คะแนน

@พริตตี้ปลาสลิด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก >>>> http://movie.sanook.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น