วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตัวอย่างหนังใหม่อย่างเรื่องGONE GIRLและผลงานการกำกับของเจมส์ คาเมรอน



นารูโตะเดอะมูฟวี่ภาคใหม่ The Last


ซึ่งในขณะที่นารูโตะฉบับหนังสือการ์ตูนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดในช่วงนี้ แต่ในด้านภาพยนตร์นารูโตะแบบมูฟวี่หรือหนังโรงกลับเงียบเหงา เพราะไม่ได้ทำภาคใหม่ฉายมาเป็นเวลาถึง 2 ปีแล้ว นับตั้งแต่เมื่อปี 2012 ฉายภาค Road to Ninja: Naruto the Movie แล้วก็เงียบไปเลยเน้นแต่เนื้อเรื่องฉบับหนังสือการ์ตูนอย่างเดียว ซึ่งล่าสุดทางนิตยสาร Shonen Jump ประกาศข่าวดีว่าจะทำนารูโตะมูฟวี่ภาคใหม่ให้ชมกันแล้ว ซึ่งภาคนี้ไม่ใช่มูฟวี่ธรรมดาด้วย แต่เป็นการเนื้อเรื่องใหม่

ภาพยนตร์อย่างเรื่องนารูโตะภาคใหม่นี้จะใช้ชื่อว่า The Last -Naruto the Movie- ชื่อว่าสุดท้ายแต่ก็ไม่ได้ระบุว่าจะเป็นภาคสุดท้ายของมูฟวี่หรือเปล่า กำหนดฉายในวันที่ 6 ธ.ค. 2014 ซึ่งค่อนข้างไว แสดงว่าแอบสุ่มสร้างกันอยู่นานพอสมควรแล้ว และจุดสำคัญของภาพยนตร์นารูโตะมูฟวี่ภาคนี้ก็คือ มันจะเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคใหญ่ "Naruto Shin Jidai Kaimaku Project" (Naruto's New Era Opening Project) หรือแปลว่าโปรเจคเปิดตัวนารูโตะภาคยุคใหม่นั่นเอง เพื่อฉลองครบรอบ 15 ปีของการ์ตูนนารูโตะนี้ นั่นหมายความว่า หลังจากจบเนื้อเรื่องการ์ตูนนารูโตะในภาคปัจจุบันนี้ น่าจะมีนารูโตะภาคใหม่ให้ดูกันต่อแน่นอน ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องของยุคใหม่เลย



ทั้งนี้มูฟวี่และโปรเจคการ์ตูนยุคใหม่นั้นล้วนเป็นความคิดมาจากอาจารย์ คิชิโมโตะ มาซาชิ ผู้วาดนารูโตะ ซึ่งเขาเป็นคนออกแบบตัวละครใหม่ๆและเนื้อเรื่องของมูฟวี่รวมไปถึงเนื้อเรื่องในการ์ตูนยุคใหม่ด้วย และเป็นที่ปรึกษาในการสร้างอนิเมชั่นมูฟวี่ อาจารย์ได้ทำการออกแบบนารูโตะใหม่สำหรับมูฟวี่ภาคนี้และการ์ตูนยุคใหม่ไว้แล้ว ดังภาพด้านบน ซึ่งจะมีตัวละครนารูโตะจากตอนสมัยเด็กและตอนวัยรุ่นให้ดูเปรียบเทียบด้วย ซึ่งนารูโตะตอนโตนั้นใส่เสื้อยาวเหมือนชุดนักเรียนกักคุรัน ผมก็ตัดให้สั้นลง และมีสีหน้าท่าทางใจเย็นสมกับเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนารูโตะ The Last -Naruto the Movie- จะมี Teaser ให้ดูเป็นตัวอย่างเล็กๆในวันที่ 31 กรกฎาคม 2014 และจะมี Trailer ตัวอย่างเต็มๆอีกทีให้ดูในโรงภาพยนตร์วันที่ 1 สิงหาคม 2014 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับแฟนนารูโตะ ที่กำลังคิดว่าการ์ตูนนารูโตะกำลังจะจบแล้ว เพราะจากประกาศโปรเจคใหม่นี้ เชื่อว่าคงมีภาคต่อให้ดูกันอีกแน่ แต่เดากันว่าภาคนี้น่าจะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว


GONE GIRL ( เมื่อเมียผมกลายเป็นศพ )



ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับจอมเนี้ยบที่เพิ่งจะเซย์กู๊ดบายหนังชีวประวัติของ สตีฟ จ๊อบส์ เพราะตกลงเรื่องค่าเหนื่อยค่าเสียเวลากับทางสตูดิโอไม่ได้ ซึ่งกลับมาคราวนี้เขาหยิบนวนิยายขายดีในชื่อเรื่องเดียวกับตัวหนัง Gone Girl ซึ่งเขียนโดยกิลเลียน ฟลินน์ และนอกจากนี้ตัวกิลเลียนเองยังรับหน้าที่ในการดัดแปลงหนังสือของตัวเองให้กลายเป็นบทภาพยนตร์ด้วยอีกต่างหาก

ขณะที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Gone Girl พูดถึงนิค ดันน์ (เบน อัฟเฟลค) ชายหนุ่มที่ตามหาภรรยาของตัวเองอย่าง เอมี่ (โรซามุนน์ ไพค์) ภายหลังจากการหายตัวไปอย่างลึกลับในคืนฉลองครบรอบวันแต่งงาน 5 ปี แต่ทว่าจู่ๆ กลายเป็นว่าเอมี่กลายเป็นศพเสียแล้ว และหลักฐานที่ตำรวจพบเจอกลายเป็นว่านิคกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับ 1 ที่วางแผนฆ่าภรรยาของตัวเอง




ซึ่งถ้าลองมองย้อนกลับไปจะพบว่าผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ของฟินเชอร์อย่าง The Girl With the Dragon Tattoo ก็ได้ถูกดัดแปลงมาจากนวนิยายเช่นเดียวกัน ซึ่งเสียงวิจารณ์ก็ออกมากลางๆและรายได้ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีซักเท่าไหร่ จนตัวฟินเชอร์เองต้องออกโรงมาโต้โผว่า “บางทีผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะครับว่าผู้ชมอยากจะดูอะไร บางทีเราอาจจะซื่อตรงกับตัวนวนิยายเกินไปหน่อยก็เป็นได้” (ออกแนวน่าหมั่นไส้)

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทีตัวแฟนหนังสือนิยายเล่มนี้อาจจะเกิดอาการผิดหวังได้ เนื่องจากตัว กิลเลียน ฟลินน์ นั้นอยากจะให้ตัวหนังมีความแตกต่างกับเวอร์ชั่นหนังสือด้วยการเปลี่ยนเนื้อเรื่องในช่วงไคลแมกซ์เสียใหม่ เพื่อสร้างความเร้าใจ โดยตัว เบน อัฟเฟลค ที่เคยอ่านนิยายมาก่อนและมารับบทในหนังเรื่องนี้กล่าวว่า “เธอจะทำแบบนั้นไปทำไมกันนะ ในเมื่อของเดิมที่เธอเขียนมันก็เยี่ยมยอดในตัวเองอยู่แล้วแท้ๆ”




และแน่นอนว่าสำหรับผู้ชมที่ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อน ตัวหนังก็ไม่ได้ยากเย็นต่อความเข้าใจนัก และด้วยสไตล์การทำหนังของฟินเชอร์เองแล้ว งานเก่าๆของเขาก็เต็มไปด้วยความมืดหม่น แอบโรคจิต และเต็มไปด้วยความรุนแรง คนชอบงานทริลเลอร์ดาร์คๆน่าจะหลงรักหนังเรื่องนี้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ตัวหนังน่าจะเข้าฉายในช่วงปลายปีนี้







เมื่อ เจมส์ คาเมรอน ได้นำคุณดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุดของโลก 
DEEPSEA CHALLENGE 3D


ซึ่งการกลับมาสร้างความฮือฮาครั้งใหม่ให้โลกภาพยนตร์นับจาก Avatar ของผู้กำกับพันล้านฯ และ เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Titanic “เจมส์ คาเมรอน” ในผลงานภาพยนตร์ผจญภัย-สารคดี 3 มิติ ที่จะนำ ผู้ชมเดินทางเสี่ยงชีวิตไปพร้อมกับเขา ฝ่าขีดจำกัดของท้องทะเลลึก สู่ดินแดนที่มนุษยชาติยังไม่เคยดำดิ่งไป ถึง ณ จุดที่ถือว่าลึกที่สุดของโลกกับ“Deepsea Challenge 3D” (ดีพซี ชาเลนจ์ ทรีดี)



โดยที่  Deepsea Challenge 3D (ดีพซี ชาเลนจ์ ทรีดี) เป็นภาพยนตร์ผจญภัย-สารคดีฟอร์มยักษ์ที่ เจมส์ คาเมรอน ร่วมกับ National Geographic (เนชันแนล จีโอกราฟฟิก) สร้างปฏิบัติการอันน่าเหลือเชื่อเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ให้ เป็นจริงในการดำดิ่งสู่ใต้มหาสมุทรที่ความลึกมากกว่า 36,000 ฟุต บริเวณมหาสมุทรมาเรียน่า ใกล้กับเกาะกวมพน่อมกับยานดำน้ำที่พัฒนาขึ้นเพื่อปฏิบัติการครั้งนี้โดยเฉพาะตามลำพัง พร้อมกับต้องฝ่าอันตรายนานัปการที่เกิดขึ้นจากความท้าทายของธรรมชาติ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสุดระทึก “Deepsea Challenge 3D (ดีพซี ชาเลนจ์ ทรีดี) คือภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งจะสร้างทั้งแรงบันดาลใจและความประหลาดใจให้แก่ทุกคนที่ได้ชม แล้วคุณจะพบว่า โลกใบนี้ยังมีสถานที่อัศจรรย์อีกมากมายที่ยังรอให้มนุษย์ไปค้นพบ” เจมส์ คาเมรอน กล่าว เตรียมตัวให้พร้อม เจมส์ คาเมรอน จะนำคุณเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุดของโลกที่มนุษย์ยังไม่เคยไปถึงอย่างสมจริงสูงสุด 21 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์






Special Scoop ใหม่


โปรเจ็คหนังใหม่ของซุปตาร์ฮอลลีวูด

หนังโปรเจ็คตัวใหม่ล่าสุุดของผู้กำกับอย่าง คาเมรอน โครว์ ซึ่งจะเป็นหนังแนวโรแมนติกคอมมาดี้ มีแพลนจะเปิดตัวภาพยนตร์ ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2015 และจัดจำหน่ายในนามของสตูดิโอ Sony Pictures ซึ่งจะมีนักแสดงระดับซุปตาร์อย่าง 
1.เอ็มม่า สโตน
2.แบรดลีย์ คูเปอร์
3.ราเชล แม็คอดัมส์
4.อเล็กซ์ บอลวินด์
5.เจย์ บารูเชลม
6.ไมเคิล เชิร์นนัส
7.บิลล์ เมอร์เรย์ 
โดยที่ทีมงานได้ยกกองไปปักหลักถ่ายทำหนังกันที่ฮาวาย ตัวหนัง ที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องนั้น บอกเล่าเรื่องราวของนายทหารรูปหล่อ (แบรดลีย์ คูเปอร์) ที่กำลังประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในระดับขีดสุด เขาพยายามจะสานต่อความรักกับแฟนสาว (ราเชล แม็คอดัมส์) แต่ระหว่างนั้นเองเขากลับไปตกหลุมรักกับสาวสวยนักบินในกองทัพอีกคน (เอ็มมา สโตน) ซะอย่างนั้น ถึงคราวที่พ่อหนุ่มคนนี้จะต้องเลือกคนที่ใช่แล้วล่ะ 



โดยที่ ไมเคิล เคน ร่วมประกบดารารุ่นลูกอย่าง วิน ดีเซล และ โรส เลสลีย์ ใน The Last Witch Hunter ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของชายผู้อ้างตัวเองว่าเป็นนักล่าแม่มด (วิน ดีเซล) ซึ่งเขากำลังตามล่าหญิงสาวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด (โรส เลสลีย์) ในการแพร่โรคระบาดแก่มนุษย์ ตัวหนังจะกำกับโดยเบรก ไอส์เนอร์ มีกำหนดการเปิดกล้องเดินสิงหาคมที่จะถึงนี้


โดยเจค จิลเลน ฮาลผอมซูบ กับการได้รับบทในหนังใหม่ของ แดน กิลรอยด์ ผู้เขียนบทเรื่อง 1.Real Steel, 2.The Fall, 3.The Bourne Legacy โดยเรื่อง Nightcrawler ซึ่งตัวเจ็คนั้นเรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงตัวเองพอสมควร เขาพยายามอย่างยิ่งยวดในการหางานทำ ตัวเจ็คจะรับบทเป็นชายหนุ่มที่พยายามหาบ้านและหางานทำ แม้ว่าเขาอาจจะต้องออกไปประกอบอาชญากรรมในเมืองใหญ่อย่างลอสแองเจอลิสก็ตามที ตัวหนังมีกำหนดเปิดตัวในวันที่ 17 ตุลาคม และมีดาราร่วมแสดงอย่าง 1.เรเน่ รุสโซ่, 2.บิลล์ แพกซ์ตัน และ 3.ริซ อาห์เมด 



วิจารณ์หนังเรื่อง The Fault in our Stars



หนัง อย่าง The Fault in our Stars อาจจะเป็นแค่หนังรักวัยรุ่นที่มีพล็อตบีบน้ำตาสุดแสนธรรมดาสามัญเนื่องจากหนังมีองค์ประกอบอันประกอบไปด้วยตัวละครที่ป่วยไข้จวนเจียนจะตายเพราะป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว TFIOS ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายต้นฉบับของผู้เขียน “จอห์น กรีน” นั้นมีอะไรกว่าแค่ความรักน้ำเน่าของหนุ่มสาว

ซึ่งก็จริงอยู่ที่ว่าพล็อตเรื่องมันไม่ได้มีอะไรหวือหวาหรือเหนือความคาดเดา ทว่าการผสมผสานอารมณ์ซึ่งใส่ความละเมียดละไมของผู้เขียน ในการเร้าอารมณ์ผู้อ่านให้เริ่มหลงรักและทำความเข้าใจไปกับตัวละครจนพวกเขาเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของคนอ่าน และพร้อมจะบีบต่อมน้ำตาให้คุณน้ำตาไหลพรากยามที่พวกเขาจะเผชิญกับมรสุมชีวิต ผู้กำกับอย่าง จอช บูนนั้น เลือกจะหยิบงานต้นฉบับมาถ่ายทอดอย่างซื่อตรง และพึ่งพาทักษะทางการแสดงของเหล่าซุปตาร์ดาวรุ่นหน้าใหม่อย่างไชลีน วู๊ดลีย์และแอนเซล เอลกอร์ทแทน

โดยที่เรื่องราวใน TFIOS บอกเล่าเรื่องราวของเด็กสาววัยรุ่นอย่าง ฮาเซล แลนคาสเตอร์ (ไชลีน วู๊ดลีย์) เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งเฉียบพลันตั้งแต่เด็กและเธอหวุดหวิดเกือบเสียชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่งตอนอายุ 13 ปี จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเธอกลับรอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์และมีชีวิตอยู่มาถึงอายุ 16 ปี ฮาเซลมีแม่ที่ชื่อแฟรนนี่(ลอร่า เดิร์น์) ซึ่งดูแลเธออย่างเยี่ยมยอด และมีพ่อผู้แสนอ่อนไหวอย่างไมเคิล(แซม แทรมเมลล์)

และหลังจากที่ฮาเซลรอดชีวิตมา เธอยังใช้ชีวิตแบบชาญฉลาด เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน แต่ด้วยความป่วยไข้ที่เธอเป็นโรคมะเร็งนั้นทำให้เธอไม่สามารถออกไปมีเพื่อนในสังคมใหม่ๆ ชีวิตเธอมักจะวนเวียนอยู่แค่กลุ่มช่วยเหลือและให้คำปรึกษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ประกอบกับอุปกรณ์ช่วยหายใจที่ถูกเสียบคาจมูกของเธอไว้ตลอดเวลาทำให้เธอไม่สะดวกที่จะทำอะไรโลดโผนมาก เพราะมันมีหน้าที่ช่วยให้ปอดของเธอทำงานอย่างปกติ




ในวันหนึ่งระหว่างที่ฮาเซลกำลังนั่งเซ็งซังกะตายกับการบำบัดในศูนย์ให้คำปรึกษาเพื่อนผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่นั้น เธอก็ได้พบกับ กัส วอเตอร์ส(แอนเซล เอลกอร์ท) หนุ่มหล่อวัย 18 ปีที่เขาสูญเสียขาไปเพราะโรคมะเร็งซึ่งกำลังพักฟื้นร่างกายจนถึงทุกวันนี้ ความฝันอันสูงสุดของกัสก็คือการทำให้ตัวเองเป็นคยที่พิเศษและหวังว่าจะออกไปทำอะไรใหม่ๆในโลกกว่าง เมื่อฮาเซลและกัสได้ทำความรู้จักกัน ทั้งสองกลับถูกเชื่อมโยงด้วยหนังสือที่เฮเซลชอบอ่านอย่าง An ImperialAffliction ซึ่งเล่าเรื่องราวของผู้ป่วยโรคมะเร็ง เขียนโดย ปีเตอร์ ฟาน ฮูเต็น(วิลเลียม เดโฟ)

และเมื่อฮาเซลได้เขียนอีเมล์โต้ตอบไปหาปีเตอร์ และกัสก็ช่วยสานฝันให้เธอด้วยการเขียนอีเมล์แจ้งความจำนงค์ไปว่าฮาเซลนั้นอยากจะไปพบตัวจริงของปีเตอร์เพื่อพูดคุย และฮาเซลก็ได้รับจดหมายตอบกลับมาเพื่อเชื้อเชิญให้เธอเดินทางไปยังอัมสเตอร์ดัม ทริปท่องเที่ยวที่ทำให้ฮาเซลได้เดินทางไปพบกับนักเขียนในดวงใจพร้อมกับหลายเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ชีวิตเธอก็คาดไม่ถึงมาก่อน

โดยหนัง TFIOS ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้นสามารถทำให้ตัวละครสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของคนดูได้เพราะนักแสดงมีเสน่ห์มากและเคมีระหว่างฮาเซลและกัสก็ลงตัวกันตั้งแต่ฉากแรกพบ ประกอบกับทักษะทางการแสดงที่เข้าถึงของตัวละคร ฮาเซลเป็นเด็กสาวที่เข้าใจในชีวิต เธอไม่ได้เป็นเด็กสาววัยรุ่นที่มัวแต่เศร้าโศกกับเรื่องความตายที่อาจจะถามหาเธอได้ทุกครู่ทุกยาม แต่เธอพยายามจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่าและมีความสุขที่สุดตามสภาพ



แก่นสารของของหนัง TFIOS นั้นหยิบเรื่อง “ความตาย” เอามาเป็นแกนหลักของหนัง ได้อย่างคมคาย ลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นฉากงานศพของตัวละคร ที่นางเอกได้พูดว่า “งานศพนั้นไม่ได้จัดขึ้นเพื่อคนที่จากเราไปแล้ว หากแต่จัดขึ้นเพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปต่างหาก” ซึ่งมันสะท้อนให้เราเห็นว่าการคร่ำครวญกับความสูญเสียนั้นไม่ควรจะเอามาเป็นอุปสรรคให้กับชีวิต ความตายล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นวนเวียนอยู่รอบๆตัวเรา ความตายของคนรอบข้างนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับตัวเราเช่นกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง

สภาพการระลึกรู้สึกถึงความตายของฮาเซลนั้น สะท้อนให้ผู้ชม “ใช้ชีวิตที่มีอยู่ในทุกวัน” ให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ สิ่งที่ทำเราน้ำตาริน (และไม่ใช่แค่ฉากเดียวของหนังเรื่องนี้) ก็คือฉากที่นางเอกของเรื่องพยายามจะเดินขึ้นไปดูบ้านของแอน แฟรงค์ซึ่งไม่มีลิฟต์ มีแต่บันไดชันๆ ซึ่งการไต่ขึ้นที่สูงมากๆทำให้เธอเหนื่อยจับ แต่เธอก็ยังคงยืนกรานที่จะเดินขึ้นไปพร้อมกับหอบถังออกซิเจนไปพร้อมๆกับเธอ มันเป็นฉากที่เราเอาใจช่วยและรู้สึกถึงชัยชนะเล็กๆของมนุษย์ที่ “เอาชนะ” หัวใจของตัวเองได้อย่างงดงาม




และอีกฉากหนึ่งที่สะเทือนอารมณ์ไม่แพ้กันก็คือฉากปะทะอารมณ์ระหว่างแม่ลูก เมื่อฮาเซลบอกแม่ของเธอว่าสิ่งที่ทำให้เธอโกรธก็คือภาพฝังใจที่เธอได้ยินแม่ของเธอพูดว่า หลังจากที่เธอตายไป(ตอนอายุ 13) เธอกลัวว่าจะไม่ได้เป็นแม่ลูกกับฮาเซลอีก คำพูดเบาๆอันนั้นทำให้เธอฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ และเราเชื่อว่าคนที่เป็นคน “รักแม่” มากๆ จะบ่อน้ำตาแตกไปกับการแสดงของลอร่า เดิร์นในบทคุณแม่ที่ดูแลลูกอย่างชิดใกล้อย่างแน่นอน

TFIOS คือความงดงามในการเล่าเรื่องของความตายให้เราเข้าใจและเข้าถึงไปกับมัน เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าใครจะเดินทาง “จาก” เราไปก่อนกันสิ่งที่เกาะกุมหัวใจเรานั้นก็คือเรื่องดีๆที่มนุษย์มีให้กันและกันตราบวันสิ้นลมให้ใจ และจะอยู่ในความทรงจำของคนคนหนึ่งตลอดไป

ให้ 5 คะแนนจาก 5 คะแนน

@พริตตี้ปลาสลิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น