วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บทบาทหนังที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษสำหรับ ไอ้ขวัญ หนุ่มเจ้าทุ่งแห่งคลองแสนแสบจากเรื่อง แผลเก่า(ต่อจากเมื่อวาน)





เมคอัพ-คอสตูมในเรื่องนี้

          ถ้าสำหรับผมแล้วมันก็อาจจะคล้ายๆ กันในส่วนของ “เคน” กับ “ขวัญ” ในแง่ของวัยรุ่นชายสมัยก่อนยุคใกล้เคียงกัน ก็จะแต่งตัวเสื้อผ้าคล้ายๆ กัน แต่เรื่องนี้อาจจะแตกต่างจากเรื่องที่แล้วตรงที่ใช้โจงกระเบนมากขึ้นในการแต่งตัวของผม แล้วเป็นชาวนาก็มีการทำให้ตัวดำมากขึ้น ก็มีทั้งเมคอัพช่วยด้วย พยายามตากจริงเพิ่มเติมก่อนเปิดกล้อง 2-3 เดือนก็มีการตากแดดจริง 


          ซึ่งหลังจากที่ได้เล่นฟิตเนสก็จะไปนอนตากแดดริมสระว่ายน้ำ อาจจะมีการฉีดสเปรย์ให้มันดำง่ายขึ้น แล้วก็ป้องกันแสงยูวีต่างๆ มีการทำอย่างนั้น ก็จะมีพี่ขวดช่างแต่งหน้าก็จะบอกว่ามันจะช่วยให้ผิวเนียนยิ่งขึ้น สวยยิ่งขึ้น ถ้าเกิดเราผิวขาวแล้วมาทาดำมันก็จะดูด่างๆ แต่ถ้าเราผิวกลมกลืนมันจะทำให้ผิวสวยยิ่งขึ้น ช่วยๆ กันทั้งเมคอัพเอง ทั้งคอสตูมเองก็คอยช่วยตลอดเวลา


ประทับใจฉากไหนมากที่สุด

          ก็ถ้าพูดในส่วนตัวผมอย่างที่บอกไป ผมชอบฉากกับพ่อ ผมชอบฉากกับพี่อ๊อฟ ถ้าไม่นับฉากกับเรียมที่เป็นฉากเข้าพระนาง มันก็เป็นเรื่องปกติของหนังอยู่แล้วที่เป็นหนังเรื่องของพระนาง ถ้าเกิดนอกเหนือจากนั้นก็ชอบซีนพี่อ๊อฟครับกับพ่อ เรียกได้ว่าทุกๆ ซีนเลย ทั้งในเรื่องของบทที่มันเป็นบทที่สนุก แล้วก็เหมือนเป็นพ่อลูกที่น่ารักด้วย 

          อีกทั้งยังรวมถึงเบื้องหลังข้างนอกที่ตัวพี่อ๊อฟเองคอยสอนคอยแนะนำตลอดเวลา มันเหมือนเราได้ความรู้ทั้งในด้านของการทำงานและนอกการทำงานด้วย เค้าก็จะคอยสอนตลอดวลา


สำหรับการทำงานร่วมกับหม่อมน้อยอีกหนึ่งเรื่องเป็นยังไงบ้าง ได้ความรู้เพิ่มเติมมากขึ้นมั๊ย

          ก็ได้ครับ ได้เพิ่มอยู่แล้ว เราต่างก็ได้ความรู้เพิ่มเติมทุกๆ วันที่อยู่กับหม่อมอยู่แล้ว เพราะว่าเราอยู่กับท่านมาปีนี้ก็ปีที่ 6 แล้วครับ ก็จากเรื่องแรกสุดเลยที่เป็นนักแสดงที่เหมือนเดินผ่านกล้องเฉยๆ ใน “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็คือจะเดินผ่านกล้องเฉยๆ ไม่มีบท ใน “อุโมงค์ผาเมือง” ก็จะเริ่มมีบทขึ้นมาเป็นพี่ชายของมาริโอ้ ใน “จันดารา” ก็จะมีเพิ่มมากขึ้น 

         ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เพิ่มขึ้นมาอีกเยอะที่สุด มันก็เป็นความท้าทาย แล้วก็เป็นข้อสอบที่อาจารย์มอบให้ เหมือนเป็นข้อสอบยากขึ้นเรื่อยๆ ที่ถูกเสนอให้ทำ มันเป็นข้อสอบที่เค้าให้เราทำ ตอนแรกๆ ถามว่ากลัวมั้ย กลัวมาก ถึงตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่ มันก็ไม่รู้สิ ในส่วนของผม 

          สิ่งที่ผมคิดพอทุกคนพูดถึงเรื่อง “แผลเก่า” ทุกคนอาจจะคาดหวังไประดับหนึ่งแล้ว และพอพูดอีกว่าหม่อมน้อยกำกับ ความคาดหวังมันก็ยิ่งคูณเข้าไปอีก เหมือนเป็นสิ่งที่เราต้องแบกไว้พอสมควรกับเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเรื่องอื่นทำไม่เต็มที่ 

          แต่ก็เหมือนอย่างที่บอกไปว่าสิ่งที่เราแบกอยู่ข้างหลังมันหนักขึ้น เราก็ต้องแข็งแรงมากขึ้น เพื่อผ่านมันไปให้ได้ หม่อมก็จะสอนอยุ่ตลอดเวลา คอยให้ความรู้ คอยกำกับ ก็ยังใช้เทคนิคเดิมครับ คือการซ้อมที่บ้าน การเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่ต้องใช้ก่อนเปิดกล้องจริง เวลาถ่ายจริงก็แนะนำแนะแนวเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ปล่อยให้เป็นตัวละครมากที่สุด แต่ว่าทุกๆ วันทุกครั้งก็จะได้สิ่งใหม่ๆ จากหม่อมอยู่เสมอๆ ครับ



เรื่องนี้รวมนักแสดงคับคั่งมาก

          ใช่ครับ เยอะมาก ก็มีอย่าง เช่น “ใหม่ ดาวิกา” ทุกคนก็ได้เห็นอยู่แล้ว รวมถึง “ทีมเดอะสตาร์” หลายๆ คนที่มาร่วมสร้างสีสันในหนังเรื่องนี้ รวมถึง “พี่นก สินจัย”, “พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ที่เป็นศิษย์เอกของหม่อม อย่างที่นกก็ไม่ได้ร่วมงานกับหม่อมมาสิบกว่าปีแล้วได้มาร่วมงานในครั้งนี้ 

          ก็เหมือนมันเป็นบุญของเราด้วยที่เราจะได้มาร่วมอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีบรรดาศิษย์ของหม่อมที่เป็นศิษย์เอกจริงๆ หลายๆ คนเข้ามาร่วมด้วย รวมถึง “พี่เจี๊ยบ ศักราช” ที่ก็เป็นสุดยอดอีกคนหนึ่งที่อยู่ในหนังของหม่อมหลายๆ เรื่อง รวมถึง “พี่ปอ ปานเลขา”, “พี่ต๊งเหน่ง รัดเกล้า” ก็อยู่ คือทุกคนล้วนมีฝีมือหมดเลยเก่งๆ ทั้งนั้น แล้วมารวมอยู่ในเรื่องๆ เดียว ทั้งในเรื่องขององค์ประกอบ 
    
          เมื่อตัวนักแสดงอย่างที่ได้พูดไป รวมถึงก่อนๆ หน้านี้ที่ได้พูดไป เรื่องบท เรื่องทุกๆ อย่างมันเข้ากัน ผมว่าเป็นหนังที่สมบูรณ์แบบเรื่องหนึ่งเลย



โลเกชั่นเรื่องนี้

          ผมว่าโลเกชั่นเรื่องนี้ส่วนใหญ่แล้วร้อยละ80 ผมอยู่สุพรรณบุรีนะ ทั้งในส่วนของนาขวัญเอง หรือบ้านเรียมเอง บ้านขวัญหรืออะไรก็แล้วแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สุพรรณบุรี ก็จะเป็นอยู่กับทุ่งนา อาจจะเข้าบางกอกบ้างแต่ว่าก็ไม่ได้เยอะเท่าที่สุพรรณ



ซึ่งทุ่งนาเปรียบเสมือนตัวละครในเรื่องด้วย

          อันที่จริงแล้วทุ่งนามันเป็นตัวแปรหลักสำคัญตัวแปรหนึ่งของเรื่องนี้ ด้วยการที่เราถ่ายทำกันแล้วระยะเวลาถ้าเกิดเอาจริงๆ ก็ประมาณ 5 เดือนมกราถึงพฤษภา แต่ถามว่าใช้ทุกวันมั้ยก็ไม่ได้ใช้ทุกวัน แต่ทำไมถึงต้องใช้ขนาดนี้ก็เพราะว่าตัวแปรหลักเลยคือนา มกรามันเป็นเหมือนการเริ่มทำนาที่เป็นการดำนา การไถนา การหว่านนา ก็เหมือนเราเตรียมนาให้พร้อมเพื่อปลูกต้นข้าว พอกุมภาเราเริ่มปลูก 
พอมีนาเริ่มเป็นต้นกล้า เมษาเริ่มโตเป็นต้นใหญ่ พอพฤษภาปุ๊บสีทองค่อยเกี่ยวคือมันเหมือนเป็นวัฏจักรกระบวนการ เป็นชีวิตของข้าวที่ดำเนินตามเวลา 

         
          และเหมือนกับดำเนินเรื่องไปพร้อมๆ กัน กาลเวลาของเรื่องนี้สามารถดูได้จากต้นข้าวเช่นเดียวกัน ที่จะค่อยๆ จากข้าวที่เปิดหัวมาโตเต็มที่แล้วก็ถูกเกี่ยวไป แล้วก็เริ่มการทำนาใหม่ ไถนา หว่านนาเริ่มใหม่เป็นกระบวนการ นี่ก็คือชีวิตของชาวนาแบบหนึ่งที่เป็นวิถีชีวิตของเค้าที่จะเป็นแบบนี้ทุกๆ ปี เป็นทุกๆ หน้าที่จบหน้านี้ปุ๊บ ก็จะเริ่มทำใหม่ 

          ระยะเวลาก็ประมาณสามครั้งต่อปี ก็คือจะทำเป็นอย่างนี้ มันก็เหมือนเราสามารถดูเวลาได้จากการทำนา การเจริญเติบโตของข้าวได้เช่นเดียวกัน



ซึ่งด้านหนึ่งของเรื่องนี้จะสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตประเพณีของคนไทย



          ผมคิดว่าเป็นอาชีพเป็นวิถีชีวิตของคนไทยเลยก็ว่าได้ที่อยู่กับตรงนี้มาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีที่คนไทยทำตรงนี้มาเป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้ ที่สมัยนี้อาจจะเห็นได้น้อยลง แต่เราก็พร้อมที่จะรักษามันไว้และอยากจะให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้เห็น มันเป็นหนังพีเรียดก็จริงแต่อย่างที่บอกว่ามีการปรับใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงวัยรุ่นสมัยนี้เช่นเดียวกัน และอย่างที่ผมคิดว่าขวัญเรียมก็เหมือนเป็นวัยรุ่นคู่หนึ่ง ในเวอร์ชั่นนี้ในเรื่องของอายุหม่อมอยากให้เด็กลงมาจากภาคของคุณเชิด 

          ผมอยากให้เด็กลงมาอีกก็เพื่อให้เหมือนกับหนังใหม่วัยรุ่นเรื่องหนึ่ง อาจจะเป็นวัยรุ่นพีเรียดที่เป็นความรักกุ๊กกิ๊กของชายหญิงคู่หนึ่งแล้วก็มีเพื่อน กลุ่มเพื่อนเหมือนเป็นหนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง แล้วก็ได้เห็นวิถีชีวิต ได้เห็นวัฒนธรรมของคนไทยว่าถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นวัยรุ่นนะ อายุ 18-19 เนี่ยเค้าก็ทำนาเหมือนกัน คือคนสมัยก่อนทำนา บางทีไอ้รอด (น้องชายเรียม) เนี่ยเด็ก 8 ขวบก็ทำนาเหมือนกัน 

          ซึ่งก็เหมือนเป็นวิถีชีวิตของเค้าที่อยากจะให้คนรุ่นใหม่ได้เห็น รวมถึงการขี่ควาย การเลี้ยงควาย รวมถึงพายเรือ การแจวเรือก็ได้เห็นกัน ไม่ใช่แค่บางคนพูดถึงว่า อย่างผมเองก่อนถ่ายทำเดี๋ยวต้องพายเรือ อ้อ...พายเรือก็นั่งพายทุกคนคิดอย่างนี้หมด แต่จริงๆ แล้วสมัยก่อนเนี่ย ที่คนสมัยนี้ไม่ได้เห็นแล้วคือการยืนพาย ของเมืองไทยก็มีเหมือนกันการยืนพายก็คือการแจวเรือ จริงๆ การแจวเรือมันคือการยืนพายคือทุกคนคิดว่าแจวเรือคืนั่งพายออย่างนี้ จริงๆไม่ใช่ นี่คือพายเรือ การแจวเรือคือยืน มันจะมีวิธีการของเค้าซึ่งผมก็ได้เรียนอยู่สองวันก่อนถ่ายทำ ก็คือติวเข้มเลยเพื่อถ่ายฉากนั้น ซึ่งต้องพายให้ได้และพายให้ตรง ก็ยากพอสมควร 

         แต่แล้วผมก็ต้องทำให้ได้ แล้วก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของคนแบบนี้จริงๆ เพราะขวัญเหมือนเป็นลูกทุ่งบางกะปิ เป็นเจ้าน้ำ คนที่อยู่ริมน้ำต้องเป็นหมด ก็คือทำนา จับปลา พายเรือ ยกยอ เหวี่ยงแห นี่คือเรื่องปกติมาก มันก็ต้องทำให้ได้หมดเลย มันเหมือนเราไปส่องวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนคนหนึ่งถ่ายทอดออกมาให้คนปัจจุบันได้เห็น ก็คือต้องเรียนรู้ทุกอย่างให้เป็นให้หมด อย่างน้อยก็ต้องเป็นครับ 

         แต่บางอย่างก็อาจจะดีหน่อยเพราะ อย่างเช่นขี่ควายไม่ใช่ง่ายหรอก แต่เป็นการเข้ากับเราได้ง่ายกว่า แจวเรืออาจจะยากหน่อย แต่ถามว่าทำได้มั๊ย ต้องทำให้ได้ ถ่ายทำไปแล้วก็พอทำได้ครับ



รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เรียนรู้ทักษะทางด้านนี้

          ผมคิดว่าเป็นกำไรอีกอย่างหนึ่งนะครับที่เราได้เรียนรู้ตรงนี้ ทั้งในเรื่องของการเกี่ยวข้าว บางทีเราก็ไม่รู้หรอกนะเรื่องเกี่ยวข้าวเนี่ย ถามว่ารู้มั้ยว่าการทำนาคืออะไร ก็คือการไถนาเสร็จแล้วก็หว่านนา แล้วก็รอข้าวขึ้นแล้วก็เกี่ยวเนี่ยคือการทำนา 

          แต่อันที่จริงแล้ววิธีการทำมันเยอะกว่านั้นเยอะ บางทีพูดมาสี่ขั้นตอนจริงๆ อาจจะมีซักสิบ ไถนี่เสร็จปุ๊บต้องเกลี่ยหน้าดินอีก ต้องทำคูคลองอีก หว่านเสร็จปุ๊บมันมีดำนา ก็ต้องแกะต้นกล้าไปทำเป็นแถว บางทีหว่านเสร็จปุ๊บก็รอโตเลย รอเพาะ รอเกี่ยว เกี่ยวเสร็จปุ๊บต้องฟาดข้าวให้เม็ดออกมา เม็ดออกมาต้องเก็บไปฝัดเพื่อให้พวกผงพวกเศษมันออกไป ได้ข้าวปุ๊บไปสีอีก คือขั้นตอนเนี่ยมหาศาล 

          เพียงทำแค่นี้ก็เหมือนเราได้เรียนรู้ตรงนี้ได้เหมือนกัน ได้กำไร ได้ขี่ควายที่แบบคงไม่มีโอกาสได้ขี่ในชีวิตประจำวัน แล้วก็การพายเรือแล้วก็เหมือนได้เรียนพายเรือไปด้วย บางทีอาจจะเอาไปใช้ในอนาคต พายเรือแคนูเล่นกับเพื่อน ก็สามารถพายได้ หลักการพายเรือก็คงคล้ายๆ กัน ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยได้เรียนรู้ และยากที่จะมีโอกาสได้เรียนรู้ ก็ได้เรียนรู้ครับ



ผู้ชมจะได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง

          สิ่งที่แน่นอนอย่างแรกเลย ในแง่ของคำว่าภาพยนตร์ต้องได้ความสนุกสนานได้ความบันเทิงกลับไป แต่ว่าในส่วนที่มีความหมายแฝงอยู่ในนั้นก็แล้วแต่นะว่าคนจะมองยังไง แต่ในสำหรับตัวผม ผมได้เรื่องของความรัก อย่างแรกเลยคือความรักเมื่อคนพูดถึงขวัญเรียมอย่างน้อยแน่นอนคนต้องพูดถึงความรัก ความรักของขวัญเรียมเองก็แล้วแต่ที่มนุษย์คู่หนึ่งจะรักกันได้ถึงขนาดนี้ 

          ผมคิดไว้ว่านี่แหละมันคือคำว่ารักแท้จริงๆ ซึ่งสมัยนี้อาจจะเห็นได้น้อยลงหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็อาจเป็นตัวจุดประกายให้คำว่ารักแท้กลับมามากขึ้นก็เป็นได้จากการที่คนได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมถึงความรักของลูกกับพ่อที่ขาดแม่ แต่ถามว่าขาดแม่แล้วมีปัญหาอะไรเข้ามาในชีวิตมั้ย ก็ไม่นะ บางคนบอกว่าที่เกเรทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีแม่ มีพ่ออยู่คนเดียว บางคนบอกไม่มีพ่อก็มีแม่อยู่คนเดียว บางคนบอกแบบนี้เพราะว่าเป็นแบบนี้ ถามว่ามันมีส่วนมั้ย มันก็มีส่วนเหมือนกัน 

          แต่ถ้าถามว่าเราเลือกที่จะเรียนรู้หรือเลือกที่จะหาอย่างอื่นมาทดแทนได้มั้ย หรือบางทีอาจจะเป็นอยู่ที่ตัวของผู้ปกครองเองด้วย ตัวผู้ใหญ่เขียนเนี่ยสามารถมอบความรักทุกๆ อย่างให้แก่ขวัญได้ในทุกๆ ทาง ทำให้ขวัญออกมาเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ในระดัหนึ่ง มันก็สอนทั้งในแง่ของตัวเด็กเองที่เป็นตัวขวัญและตัวผู้ปกครองเองด้วยได้เช่นกัน รวมถึงความรักของคนกับสัตว์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน 

          ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบสมัยนี้ก็อาจจะเป็นคนกับหมาที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน ที่รักกันมาก ไอ้นี่ก็เช่นเดียวกันอาจเป็นคนสมัยก่อนอาจจะไม่ได้เลี้ยงหมา เลี้ยงควาย ซึ่งถามว่าควายเป็นสัตว์เลี้ยงมั๊ย เป็น แต่ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงธรรมดา เป็นทั้งสัตว์เลี้ยง ใช้เดินทาง ใช้ในการทำงาน ใช้เป็นเพื่อนเล่นทุกอย่างอยู่ในตัวๆ เดียว ซึ่งมันก็เป็นอีกความรักหนึ่งที่น่ารักแล้วก็สวยงามมาก

          รวมไปถึงสิ่งที่เห็นอีกอันหนึ่งก็คือความรักของเพื่อน กลุ่มเพื่อนที่แต่ละคนก็มีนิสัยแตกต่างกันออกไป บางคนก็อาจจะมีเลวบ้างดีบ้าง อยู่ที่แต่ละคน และก็อยู่ที่คนจะมองแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป ถามว่ามันมีเกิดเรื่องทะเลาะกันในกลุ่มเพื่อนมั้ย 

          ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีเหมือนกัน มันก็แค่เป็นการทะเลาะกันปกติของเพื่อนผู้ชายที่ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นเรื่องปกติ แต่ถามว่าเมื่อทะเลาะกันแล้วเราสามารถกลับมาคืนดีกัน กลับมาคุยกัน กลับมาแชร์ความคิดกัน 

          ผมเชื่อว่าทุกคนต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกัน บางทีคนในครอบครัวเดียวกัน หรือว่าใครก็แล้วแต่ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่แล้วแหละ 

          แต่เราจะเอาความคิดของตัวเองนั้นเป็นบรรทัดฐานอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่ เราก็ต้องรับความคิดของคนอื่นเข้ามา เพื่อรับความคิดของเค้าแล้วก็มาปรับใช้ แล้วเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและสังคมได้ยังไงบ้าง มันก็อยู่ที่ความคิดและมุมมองของคนหลายๆ คน เราจะได้เห็นสิ่งตรงนี้จากหนัง
เรื่องนี้

นิยามของ “แผลเก่า”

          ถ้าในแง่คิดของผมเอง พอพูดถึง “แผลเก่า” ปุ๊บ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าแผลเก่า มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออดีตและยังส่งผลถึงปัจจุบันอยู่ ซึ่งสิ่งนั้นสำหรับตัวขวัญเอง ถ้าเกิดเปิดเรื่องมาปุ๊บ 

          ซึ่งถ้าถามว่ามันมีเรื่องขึ้น ผมว่ายังไม่มีนะ แต่พอมันมีเนี่ย มันก็เริ่มมีขึ้นหลายๆ อัน อาจจะบางแผลบ้าง แผลเล็กบ้างแผลใหญ่บ้าง แต่แผลใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นแผลที่เราสร้างขึ้นมาเองมากกว่า


ท่านสามารถติดตามชมข่าว หนัง โปรแกรมหนัง เช็ครอบหนัง หรือดูหนังใหม่ เพิ่มเติมได้ที่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น