วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หนังใหม่,ตัวอย่างหนังใหม่ประจำเดือนกรกฎาคมนี้จะมีเรื่องที่คุณถูกใจไหม? มาชมกันเลย



โปรแกรมหนัง Dawn of the Planet of the Apes

ชื่อภาษาไทย : รุ่งอรุณแห่งพิภพวานร (Dawn of the Planet of the Apes)
จัดจำหน่ายโดย : 20th Century Fox
วันที่เข้าฉาย : 10 กรกฎาคม 2557

เนื้อเรื่องย่อ


โปสเตอร์ Dawn of the Planet of the Apes



Dawn of the Planet of the Apes ภาคต่อจาก Rise of the Planet of the Apes เมื่อปี 2011 

เรื่องราวของโลกที่ถูกเหล่ามนุษย์วานรเข้ายึดครองหลังจากที่โลกโดนไวรัสมรณะระบาดจนมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก ภาคนี้ผู้นำเหล่ามนุษย์วานร ซีซ่าร์และพรรคพวกได้มีพัฒนาการที่มากยิ่งขึ้น จนทัดเทียมหรืออาจจะเหนือกว่าคน พวกเขามีกองทัพเพื่อป้องกันมนุษย์โจมตี

ประชากรลิงที่ได้รับการพัฒนายีนซึ่งนำโดย ซีซาร์ ที่เพิ่มจำนวนขึ้น ต่างถูกคุกคามจากกลุ่มมนุษย์ผู้รอดชีวิตจากไวรัสทำลายล้างที่มีการปล่อยออกมาเมื่อ 10 ปีก่อน สงครามพร้อมปะทุขึ้นทุกเมื่อ แต่นั่นคือการพิสูจน์ให้เห็นถึงอายุขัยระยะสั้น ทั้งสองฝ่ายต่างพร้อมทำสงครามที่จะเป็นการตัดสินว่าสายพันธุ์ใดจะเป็นผู้ครองโลก

Dawn of the Planet of the Apes นำแสดงโดย แกรี่ โอลด์แมน, เจสัน คลาร์ก, โคดี้ สมิท-แม็คพี, เครี่ รัสเซล, แอนดี้ เซอร์คิส, จูดี้ เกียร์ กำหนดเข้าฉายกรกฎาคม 2014


ตัวอย่างแรก Dawn of the Planet of the Apes




รุ่งอรุณแห่งอาณาจักรพิภพวานร - ตัวอย่างตัวที่ 2







=============================================





กับเค้าโครงบทร่างแรก!

จากปรากฏการณ์ฟีเวอร์ ซึ่งล่าสุดจากการทำรายได้ทั่วโลกนั้นสามารถเก็บเงินเข้าสตูดิโอไปถึง 712.7 ล้านเหรียญฯ ซึ่งกล่าวได้เลยว่าเป็นการทำเงินให้กับแฟรนชายส์หนังชุดนี้ได้มากที่สุด ลบสถิติเดิมของ X-Men: The Last Stand ที่ทำไว้เพียง 459.4 ล้านเหรียญฯ ซึ่งนอกจากนี้การทำเงินของหนังภาคล่าสุดนั้นยังเฉือนเอาชนะ Captain America: The Winter Soldier ที่ปิดรายได้หลังการฉายอยู่ที่ 711.2 ล้านเหรียญฯ



ตอนนี้คู่แข่งคนสำคัญที่ไล่ทำเงินเบียด X-Men: Days of Future Past มาติดๆก็คือ Transformers: Age of Extinction ซึ่งเปิดตัวแรงมากสำหรับสัปดาห์แรกที่เข้าฉาย ตัวหนังฟันเงินในอเมริกาเหนือไปที่ 100 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงเก็บรายรับจากทั่วโลกไปทั้งสิ้น 300 ล้านเหรียญฯ

อย่างไรก็ตามความคืบหน้าของหนังภาคต่อในแฟรนชายส์มนุษย์กลายพันธุ์ X-Men: Apocalypse โดยตัวชื่อหนังภาคนี้สร้างให้สอดคล้องกับตัวร้ายของเรื่องที่ชื่อ อะโพคาลิป โดยตัวละครหลักในภาคนี้จะใช้ทีมจากชุด First Class และมีบทของวูลฟ์เวอร์รีนซึ่งรับบทโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน หลังจากที่เขาย้อนเวลากลับมาในปี 1980 (และยังเดินทางกลับยุคปัจจุบันไม่ได้)




หน้าที่ในการกำกับนั้นไบรอัน ซิงเกอร์ถูกคาดหวังให้กลับไปนั่นแท่นหัวเรือใหญ่เช่นเคย ซึ่งตอนนี้เขากำลังนั่งพัฒนาบทร่วมกับ ไซมอน คินเบิร์ก, ไมเคิล ดอจเฮอร์ตี้ และ แดน แฮร์ริส โดยหลังจากที่ได้พัฒนาเค้าโครงร่างแรกของบทภาคล่าสุดเสร็จ ไบรอันก็ไม่รอช้ารีบอัพรูปขึ้น Instagram ของตัวเองทันที ซึ่งเป็นบทในช่วง “อารัมภบท” ของหนังภาคใหม่



ถ้ายังจดจำกันได้ว่าในเอนเครดิตของ X-Men: Days of Future Past เราจะได้เห็นเด็กหนุ่มกำลังเคลื่อนย้ายพิรามิดอยู่ เหตุการณ์ในบทนำเรื่องภาคนี้จะเริ่มต้นที่ลุ่มแม่น้ำไนล์ และมีฉากต่อสู้กับทหารม้า แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่านี่จะเป็น “เค้าโครง” ของหนัง แต่ก็ไม่ได้หมายความเมื่อขั้นตอนได้ดำเนินต่อไปแล้วฉากเหล่านี้จะยังคงอยู่ในเรื่องหรือไม่ เพราะยังมีขั้นตอนอีกมากมาย อาจจะมีการแก้ไข ปรับเปลี่ยน หรือตัดออกก็เป็นได้ ซึ่งกว่าที่หนังภาคนี้จะเข้าฉายในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2016 อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดอีกมากมาย




=============================================

วิจารณ์ Begin Again



ความงดงามของหนัง Begin Again คือมันพยายามพูดถึงการเริ่มต้นใหม่ของคนสองคนที่ผิดพลาดและรู้สึกสูญเสียตัวตนของตัวเองไปเพราะความรักที่ล่มสลายโดยตัวหนังถูกเล่าผ่านตัวละครสองตัวอย่างเกรต้า (เคียร่า ไนท์ลีย์) กับแดน(มาร์ค รัฟฟาโล่)

Begin Again เป็นหนังของผู้กำกับจอห์น คาร์นีย์ที่เคยสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมอย่างหนังเพลงเรื่อง Once ซึ่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวอย่าง Falling Slowly ก็ได้รับรางวัลออสการ์ประจำปี 2006 ในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครอง อีกทั้งความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องดังกล่าวยังได้รับการดัดแปลงไปเป็นละครเวทีจนได้รับรางวัลโทนี่อวอร์ดมาเช่นกัน




ความโดดเด่นของตัวละครใน Begin Again นั้นเราจะเห็นได้ว่าตัวละครอย่างแดนนั้น เขาเป็นโปรดิวเซอร์ตกอับที่กำลังเผชิญกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ เมื่องานของเขาก็ย่ำแย่จนเพื่อนร่วมก่อตั้งค่ายเพลงถึงกับต้องถอดเขาออกจากตำแหน่ง ชีวิตแต่งงานของเขาก็ล้มเหลวและลูกสาวก็เหมือนจะไม่ยอมรับในตัวพ่อ จนกระทั่ง “เสียงเพลง” ของเกรต้าได้ลอยมาเข้าหูเขาพอดิบพอดีระหว่างที่กำลังนั่งก๊งเหล้าอยู่ในผับกลางนิวยอร์ก

ขณะเดียวกันชีวิตของเกรต้าก็เผชิญกับมรสุมบางอย่างมาเช่นกัน เมื่อเธอพบว่าแฟนหนุ่มร็อคสตาร์ของตนเองนั้นดันนอกใจไปมีอะไรกับผู้หญิงอื่น ทำให้เธอตัดสินใจก้าวเท้าเดินออกมาจากแมนชั่นหรูแล้วไปพักใจอยู่กับเพื่อนสนิทร่างท้วมสตีฟ (เจมส์ คอร์เดน) ที่เอาชีวิตรอดไปวันๆจากการเล่นดนตรีตามสวนสาธารณะและผับยามกลางคืน และเมื่อเขาชวนให้เกรต้าขึ้นมาร้องเพลงบนเวที จึงทำให้แดนได้ยินเพลงอย่าง Lost Stars จนเขาคิดว่าเพลงนี้จะเพราะจนสามารถทำกำไรงามได้อย่างแน่นอน





ด้วยโทนหนังที่พูดถึงความ” ล้มเหลวในชีวิตรัก” หนังเรื่องนี้จึงเป็นเหมือนหอกทิ่มแทงคนอกหักได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันจะโดนทั้งเพศชายและเพศหญิงก็เพราะตัวละครหลักแต่ละตัวในเรื่องนี้เป็นตัวแทนความดีงามของคน “ไม่ผิด” ด้วยกันทั้งคู่ ทางฝ่ายแดนหลังจากที่ผู้ชมได้เข้าใจว่าเขาน่าจะเป็นฝ่ายที่นอกใจเมียตัวเอง แต่ความจริงแล้วสิ่งที่คนมองผู้ชายว่ามักจะเป็นคนไม่ดีนั้น แท้ที่จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยเพราะฝ่ายหญิงต่างหากที่นอกใจสามีตัวเองแล้วหนีตามผู้ชายอื่นไปจนทำให้แดนเกิดอาการเสียศูนย์ไปคำรบใหญ่

ทางด้านนางเอกของเรื่องอย่างเกรต้า ก็ถูกแฟนที่ตัวเองคบมาร่วม 5 ปีนอกใจ และอนาคตของเขาและเธอ เกรต้ากลับมองว่ายิ่งเดฟ (อดัม เลวีน) มีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นเพียงใด เขาก็ยิ่งก้าวห่างตัวเธอมากขึ้นไปเท่านั้น เป็นดังคำสาปที่ว่าร็อคสตาร์นั้นไม่คู่ควรกับคำว่ารักแท้ เพราะเขาจะจมอยู่กับดนตรีที่เขารักและผู้หญิงที่พร้อมจะเสนอตัวเข้ามาใหม่ในชีวิตอยู่ทุกวัน





ด้วยสภาวะที่กลับไม่ได้ไปไม่ถึงของคนสองคน “เสียงเพลง” จึงกลายเป็นเครื่องมือในการบำบัดอารมณ์โดยที่แดนและเกรต้าถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันผ่านบทเพลงเหล่านี้ แม้ว่าแดนจะพยายาม “ดัน” ให้เกรต้าได้ทำอัลบั้มกับค่ายเพลงมากแค่ไหน แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าวงการเพลงของอเมริกันนั้นทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และทุกอย่างก็เกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจ การตลาดจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำเพลงออกมา

เดโม่ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ค่ายเพลงจะฟันธงว่าเพลงเหล่านั้นจะมีโอกาส “ได้ไปต่อ” หรือไม่ Begin Again จึงพาเราไปทำความรู้จักกับวงการดนตรีผ่านฉากที่เกรต้าเดินทางมาพบกับแฟนเก่าตัวเองเพื่อคุยถึงเพลงที่เธอเคยแต่งให้เขาอย่าง Lost Stars ที่เมื่อออกอัลบั้มแล้วเพลงดังกล่าวได้แปรสภาพไปเป็นเพลงพ็อพดาดๆ ซึ่งเดฟก็ให้เหตุผลว่า ที่ต้องผันแนวเพลงจากบัลลาดให้กลายเป็นเพลงพ็อพนั้นก็เพราะว่าความต้องการของตลาดที่ต้องการให้เพลงนี้ “ฮิต” ติดชาร์ทได้ต้องเป็นเพลงที่มีจังหวะคึกคัก ติดหูทันที การตลาดจึงทำลายเอกลักษณ์และความเป็น Unique อย่างไม่อาจจะปฏิเสธ ฉากนี้ได้บ่งบอกถึงสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปเพียงเพราะทุกอย่างเดินหน้าไปด้วยธุรกิจ อะไรที่มีความ “เฉพาะตัว” มากจนเกินไปนั้นก็อาจจะไม่เป็นที่นิยมของคนหมู่มาก





ความรักของเกรต้าและเดฟก็เช่นกัน เมื่อเธอรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างก็มีทางเลือกที่แตกต่างกัน แต่ละฝ่ายก็ต้องไปเลือกใช้ชีวิตของตัวเอง ในขณะที่แดนกลับพบว่าจริงๆแล้วการยอมให้อภัยอาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีที่สุด และทั้งหมดทั้งมวลสิ่งที่เชื่อมประสานให้ตัวละครทุกตัวกลับมา “เริ่มต้น” ใหม่ได้อีกครั้งก็คือเสียงเพลงที่เป็นเสมือนยาใจที่ช่วยบำบัดอารมณ์ของพวกเขาให้กลับมามี “ความหวัง” อีกครั้ง

ยกให้ 4 คะแนนจาก 5 คะแนน

ติดตามชม หนังใหม่ เช็ครอบหนัง โปรแกรมหนัง เพิ่มเติม ได้ที่  http://movie.sanook.com/


แถมรายชื่อเพลงในหนังเรื่องนี้เผื่อใครจะไปหามาฟังครับ

1. Lost Stars (Adam Levine)

2. Tell Me If You Wanna Go Home (Keira Knightley)

3. No One Else Like You (Adam Levine)

4. Horny (CeeLo Green)

5. Lost Stars (Keira Knightley)

6. A Higher Place (Adam Levine)

7. Like A Fool (Keira Knightley)

8. Did It Ever Cross Your Mind (Demo Version) (Cessyl Orchestra)

9. Women Of The World (Go On Strike!) (CeeLo Green)

10. Coming Up Roses (Keira Knightley)

11. Into The Trance (Cessyl Orchestra)

12. A Step You Can’t Take Back (Keira Knightley)

13. BONUS TRACKS: Lost Stars (Into The Night Mix) (Adam Levine)

14. The Roof Is Broke (Demo Mix) (Cessyl Orchestra)

15. Tell Me If You Wanna Go Home (Rooftop Mix) (Keira Knightley and Hailee Steinfeld)

16. Intimidated By You (Cessyl Orchestra)


=============================================


หนัง DELIVER US FROM EVIL


ความผวาสุดช็อคครั้งใหม่ประจำปี 2014 

DELIVER US FROM EVIL เป็นภาพยนตร์แนวทริลเลอร์ผสมกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่กำกับโดยสกอตต์ เดอร์ริกสันที่มีผลงานสร้างชื่อมาจาก The Exorcism of Emily Rose และ Sinister ซึ่งตัวหนังมีกำหนกดการเข้าฉายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 2 กรกฎาคม 2014 ตัวหนังมีดาราระดับท็อปฟอร์มอาทิ อีริค บาน่า, โอลิเวีย มันน์, เอ็ดการ์ รามิเรซ, โจเอล แมคฮาลและชอนน์ แฮร์ริส ซึ่งมีการคาดการกันว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นเซอร์ไพรส์อีกเรื่องประจำปีนี้ที่เดินตามหลังความสำเร็จของ The Conjuring แบบปีก่อน





ตัวหนังเล่าเรื่องราวของตำรวจหน่วยสืบสวนปราบปรามอาชญากรรมอย่างราลฟ์ ชาร์เช่(อีริค บาน่า) ที่ต้องร่วมมือเฉพาะกิจกับนักบวชนอกรีตที่รับประกอบอาชีพเป็นคนปราบผี (เอ็ดการ์ รามิเรซ) พวกเขากำลังตามสืบคดีปริศนาที่ข้องเกี่ยวกับการทรงเจ้าเข้าผีสุดลึกลับ โดยที่ตัวราล์ฟเองไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังจะนำพาครอบครัวของตนเข้าไปผัวพันกับอันตรายสุดสยองที่น่ากลัวและคุกคามชีวิตเขาไปตลอดกาล




5 เหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงจะกลายเป็นหนัง “ผี” สุดฮิตประจำซัมเมอร์นี้


1.เจอร์รี่ บัคไฮเมอร์

โปรดิวเซอร์ชื่อก้องที่หยิบงานมาจากหนังสือ Beware The Night หนังสือที่เล่าประสบการณ์จริงของราลฟ์ ชาร์เช่นายตำรวจประจำนิวยอร์ก ซึ่งการดัดแปลงเรื่องราวจากตัวหนังสือนั้นน่าจะช่วยดึงแฟนหนังสือให้มาชมภาพยนตร์ได้อีกทอดหนึ่ง และด้วยประสบการณ์การดูแลหนังของเจอร์รี่ผนวกกับมุมมองการกำกับของสกอตต์ เดอร์ริกสันน่าจะโอบอุ้มให้หนังมีอะไรน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว






2.สกอตต์ เดอร์ริกสัน

ผู้กำกับและมือเขียนบทมากความสามารถ เขาเป็นคนสร้างปรากฏการณ์ให้กับหนังสยองขวัญในทศวรรษนี้เลยก็ว่าได้เพราะนับตั้งแต่ปี 2005 กับ The Exorcism of Emily Rose ได้สร้างชื่อเสียงให้กับเขามา จนกระทั่งปี 2012 Sinister ได้สร้างปรากฏการณ์ให้คนทั้งโลกขนหัวลุกไปตามๆกันและเร็วๆนี้เขากำลังจะมีโปรเจ็คใหม่กับ Doctor Strange






3.เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ

การหวาดหลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ กลายเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้มนุษย์หวาดผวาได้เป็นอย่างดี แนวหนังปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินั้นได้โยงใยความรู้สึกของมนุษย์เข้ากับความหวาดกลัวได้เป็นอย่างดี ความตายและชีวิตหลังความตายนั้นทำให้มนุษย์มักนึกไปถึงปีศาจและวิญญาณร้ายอยู่เสมอๆ






4.ผลพวงจากความสำเร็จของ The Conjuring

หลังจากที่ปีก่อนเจมส์ วานได้ทำให้ The Conjuring ประสบความสำเร็จอย่างงดงามบนตารางบ๊อกซ์ออฟฟิศ ทำให้หนังผีผสมกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติตามออกมากันเป็นพรวนอาทิ Oculus และ the Quiet Ones และถ้าหาก DELIVER US FROM EVIL ประสบความสำเร็จ เราคงจะได้ดูหนังผีแนวนี้กันอีกยาวเลยทีเดียว



ตัวอย่างภาพยนตร์ DELIVER US FROM EVIL



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น