วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บทวิจารณ์หนัง EXODUS: GODS AND KING

บทวิจารณ์หนัง EXODUS: GODS AND KING




ถ้าจะว่ากันตามตรงหนังของผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์นั้นไม่ได้มีจุดประสงค์สร้างขึ้นเพื่อสดุดีศาสนาคริสต์ หรือแม้กระทั่งอยากจะโชว์อิทธิปาฏิหาริย์ของโมเสสเองก็ตาม แต่ด้วยท่าทีของหนังและสายตาที่ผู้กำกับเล่าเรื่องราวนั้นเรียกได้ว่ามีความแตกต่างในเชิงรายละเอียดปลีกย่อยกับตัวพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

หรือจะกระทั่งผลงานหนังคลาสสิคของ ซีซิล บี เดอมิลล์ ผู้กำกับชั้นครูกับเรื่อง The Ten Commandments ในปี 1956

หรือแม้แต่ผลงานแอนิเมชั่นของค่ายดรีมเวิร์กอย่าง The Prince of Egypt ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แม้กาลเวลาจะผ่านไปแต่ดูเหมือนผู้คนจะจดจำกันได้แต่เพลงประกอบภาพยนตร์ When You Believe ที่มารายห์ แครี่ร้องคู่กับวิทนีย์ ฮูสตันผู้ล่วงลับ


ตัวอย่างหนังใหม่ เรื่อง EXODUS: GODS AND KING




สำหรับเรื่อง EXODUS: GODS AND KING ที่ได้เปิดเรื่องราวมาที่ช่วงเวลาที่ โมเสส และ รามเสส ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยทั้งสองเป็นพี่น้องที่ดูเหมือนจะสนิทชิดเชื้อกันพอสมควร

แต่แล้วเหตุการณ์สำคัญก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเทพพยากรณ์ได้ทำนายทายทักว่าในสนามรบที่ทั้งสองจะต้องออกไปต่อกรกับพวกฮิทไตท์ที่ได้ยกทัพมาจะเข้าโจมตี ประเทศอียิปต์  ซึ่งเมื่อคนหนึ่งพลาด อีกคนจะเข้ามาช่วยเหลือไว้และเขานั้นจะได้เป็นใหญ่ในภายภาคหน้า และในสนามรบรามเสสเกิดเพลี่ยงพล้ำให้กับศัตรู และโมเสสได้เข้ามาช่วยเหลือเขาได้ทันเวลา แต่นั่นทำให้รามเสสเกิดนึกถึงคำพยากรณ์ขึ้นมาและจับคันธนูขึ้นเพื่อจะยิงศรใส่โมเสส เพราะเขาคิดว่าโมเสสอาจจะเป็นคนที่ขึ้นบัลลังก์กษัตริย์แทนเขา




ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นเริ่มก่อชนวนแห่งความขัดแย้งระหว่างทั้งสอง เวลาผ่านไปไม่นานเมื่อพระบิดาของรามเสสสิ้นชีพตามอายุขัย ทำให้รามเสสต้องขึ้นครองราชย์ การขึ้นเป็นกษัตริย์ของเขาเป็นไปอย่างชอบธรรม แต่ทว่าฝีมือในการบริหารจัดการนั้นยังเรียกได้ว่าอ่อนหัดและต้องอาศัยความช่วยเหลือจากโมเสส

แต่ว่ารามเสส นั้นเป็นคนหูเบา และมีขุนนางที่ต้องการจะกำจัดโมเสสไปให้พ้นทาง เรื่องราวทางสายเลือดของโมเสสจึงโดนขุดคุ้ยขึ้นมาว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่เชื้อสายราชวงศ์แต่เป็นลูกทาสชาวฮิบรูที่ถูกเก็บมาจากตะกร้าริมน้ำ นั่นเป็นผลให้โมเสสต้องถูกเนรเทศออกจากเมืองไป

และเหตุการณ์ต่อจากนี้โมเสสได้พบกับเมืองเล็กๆ ที่เลี้ยงแกะเป็นอาชีพ เขาได้แต่งงานและมีลูกกับหญิงคนหนึ่ง ก่อนวันหนึ่งเขาก็เหมือนจะได้รับโองการจากพระเจ้า ในรูปลักษณ์ของเด็กคนหนึ่ง ให้เดินทางกลับไปช่วยเหลือชาวฮิบรูที่ตกเป็นทาสของชาวอียิปต์ซึ่งถูกกดขี่และใช้แรงงานอย่างหนักเพื่อสร้างพระราชวังใหม่ของรามเสส จุดเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้เขาต้องเดินทางกลับยังนครที่เขาถูกเนรเทศออกมา




และความน่าสนใจของหนังเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่การปรากฏตัวของพระเจ้า เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ภายหลัง จากหินถล่มมากระแทกหัวของโมเสส ซึ่งความเคลือบแคลงของผู้กำกับหนังเผยออกมาให้เห็นว่านิมิตของโมเสสกับการเห็นพระเจ้านั้นอาจจะเกิดจากสมองกระทบกระเทือนหรือเขาเห็นพระเจ้า แบบที่คนอื่นไม่เห็นจริงๆ

ทั้งยัง ด้วยสายตาแบบการตั้งข้อสงสัยของผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์ ตามไบเบิ้ล ที่เกิดเหตุอาเพศเกิดขึ้นกับเมืองอียิปต์ที่เริ่มต้นขึ้นจากการที่จระเข้ในแม่น้ำไนล์เกิดกัดกินกันเองจนทำให้แม่น้ำเปลี่ยนแปลงเป็นสีเลือด จน ทำให้เกิดเหตุต่อเนื่อง ด้วยการที่เหล่าสัตว์น้ำก็พากันล้มตาย ซึ่งเหตุการณ์แต่ละอย่างนั้นตัวผู้กำกับเหมือนจะพยายามโน้มน้าวให้คนดูเชื่อว่า เป็นปรากฏการณ์ เหล่านี้ยังยืนอยู่บนพื้นฐานของหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแม้ว่าทุกอย่างในหนังเข้าใหม่จะถูกคละเคล้าระหว่างวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ก็ตาม เพราะฉากไฮไลท์ท้ายเรื่องอย่างตอนทะเลแดงนั้น ก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในมุมมองของปาฏิหาริย์ น้ำในทะเลแดงลดลงราวกับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเป็นเวลาชั่วคราว มากกว่าในเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่โมเสสปักไม้เท้าลงแล้วทะเลแดงก็แหวกออกเหมือนเป็นม่านน้ำ




โดยที่อีกหนึ่งฉากของรอบหนังที่น่าจดจำไม่แพ้กัน ก็คือฉากหลังจากที่ชาวฮิบรูรอดพ้นจากกองทหารอียิปต์มาได้สำเร็จแล้ว พวกเขาก็เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนานจนพระเจ้าในร่างเด็ก ถึงกับส่ายหน้าไม่พอใจและเป็นผลสืบเนื่องให้โมเสสได้รับโองการให้เขียน แผ่นหินบัญญัติสิบประการ ขึ้นมาเพื่อเป็นคำสอนให้กับชาวฮิบรู

ถ้ามองโดยรวมแล้ว EXODUS: GODS AND KING ไม่ใช่หนังที่รีเมคงานเก่า แต่มันคือการเลือกตีความตำนานในมุมใหม่ แม้มันอาจจะไม่ได้โดดเด่นในแง่ของบท แต่งานโปรดักชั่นของเรื่องเรียกได้ว่าคุ้มค่าและเหมาะอย่างยิ่งที่จะรับชมปรากฏการณ์นี้ในโรงภาพยนตร์

มอบให้ 4 ดาวจาก 5 ดาว

@พริตตี้ปลาสลิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น