วิจารณ์หนังใหม่ The Railway Man
ถึงแม้ว่าในบ้านเรากระบวนการประชาสัมพันธ์ชื่อหนังภาษาไทยของ The Railway Man ออกจะดูฮาร์ดเซลขายสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยซะเหลือเกินด้วยการตั้งชื่อว่า "แค้น สะพานข้ามแม่น้ำแคว"
ทั้งที่เนื้อเรื่องของหนังจริงๆนั้นเรื่องสะพานข้ามแม่น้ำแควไม่ได้ถูกชู
เป็นประเด็นหลัก
หากแต่ตัวหนังพยายามจะพูดถึงสภาพจิตใจที่ถูกกัดกร่อนจากภาวะสงครามจนกลาย
เป็นบาดแผลฝังลึกในจิตใจของตัวละครซะมากกว่า
The Railway Man
สร้างจากเรื่องจริงของอดีตนายทหารชาวอังกฤษ
ที่กลายหนังสือที่ขายดีไปทั่วโลกซึ่งถูกเขียนขึ้นโดยอีริค โลแมกซ์
ซึ่งในหนังสือนั้นเล่าเรื่องราวชีวิตของตัว อีริค โลแมกซ์ ทหารชาวสก็อตแลนด์ถูกจับตัวไปเป็นเชลยศึกสงครามเพื่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ โดยระยะเวลาที่เขาถูกจับตัวนั้นกินเวลาถึง 365 วัน
ตัวหนังเปิดเรื่องมาที่ยุคปัจจุบันที่ โลแมกซ์(โคลิน เฟิร์ธ) ได้ใช้ชีวิตหลังสงครามไปวันๆ ระหว่างที่โลแมกซ์กำลังเดินทางกลับที่พักโดยการโดยสารรถไฟอยู่นั้นเขาก็ได้มีโอกาสพบกับ แพตตี้(นิโคล คิดแมน)
โดยบังเอิญ ทั้งสองจึงได้แลกเปลี่ยนความคิดกันพอหอมปากหอมคอ
โลแมกซ์เพิ่งรู้ตัวเองว่าเขาตกหลุมรักแพตตี้ถึงขนาดเขาต้องมารอดักเจอเธอ
และทั้งคู่ก็ได้คบหาดูใจกันจนกระทั่งทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานร่วมชีวิต
กัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ช่างโรแมนติกจับใจเสียเหลือเกิน
ทว่าหลังจากชีวิตอันหวานชื่นผ่านพ้นไป
อดีตอันเลวร้ายของโลแมกซ์ก็เริ่มกลับมาคุกคามตัวเขาเองและชีวิตคู่
โลแมกซ์เริ่มฝันร้ายถึงเหตุการณ์ในอดีตและไม่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองให้
เป็นปกติได้ เหตุการณ์ยิ่งบานปลายหนักขึ้นจนแพตตี้ต้องไปขอคำปรึกษาจาก ฟินเลย์(สเตแลน สการ์การ์ด)
เพื่อนสนิทของโลแมกซ์ว่าเหตุการณ์ในอดีตที่สามีตัวเองเก็บมาฝันร้ายนั้นเกิด
จากสาเหตุอะไร
และเมื่อเธอได้ฟังเรื่องราวที่เหล่าวีรบุรุษสงครามต้องพานพบมา
เธอจึงพยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยสามีของตน
โลแมกซ์ตัดสินใจเดินทางกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองด้วยการเดินทางกลับไปยังจังหวัด กาญจนบุรี ประเทศไทยเพื่อแก้แค้น นากาเซะ (ฮิโรยูกิ ซานาดะ) นายทหารญี่ปุ่นที่เคยเป็นผู้ทรมานเขา
ท่าทีของ THE RAILWAY MAN
ไม่ได้พูดแต่ประเด็นซ้ำๆซากๆของตัวละครที่เคยผ่านภาวะสงครามซึ่งได้สร้างบาด
แผลฉกรรจ์ในชีวิตของคนๆหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
แต่การไถ่บาปและการล้างแค้นในหนังเรื่องนี้
ซึ่งจุดสำคัญตรงนี้ได้สร้างผลกระทบต่อชีวิตคู่ของโลแมกซ์อีกด้วย
อย่างไรก็ตามความน่าสนใจของตัวละครโลแมกซ์ในอดีตและปัจจุบันนั้นได้เผยให้ผู้ชมเห็นว่าในอดีต โลแมกซ์ ในวัยหนุ่ม(เจเรมี เออร์วีน)
นั้นค่อนข้างเป็นทหารในกลุ่มเด็กเนิร์ด
(เขาเป็นวิศวกรในการติดต่อสื่อสารประจำกองทัพ)
หน้าที่ของเขาจึงไม่ใช่การใช้แรงหรือออกไปรบ
แต่เป็นการใช้สติปัญญาเสียมากกว่า
ซึ่งให้ความขัดแย้งกับสภาพปัจจุบันที่โลแมกซ์ดูจะภูมิใจกับสภาวะชายชาติทหาร
ที่ตัวเองได้ก้าวผ่านมาซะเหลือเกิน
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วตัวของเขาเองก็ไม่ได้เผชิญความเลวร้ายอันหนักหน่วง
นักเมื่อเทียบกับเพื่อนทหารคนอื่นๆที่ถึงกับต้องตายเพราะโดนพาตัวไปสร้างทาง
รถไฟ (เนื่องจากความภูมิใจของชายชาติทหารส่วนมากก็คือการเดินทางออกไปรบ
ยิงปืนต่อสู้กับข้าศึก มากกว่าจะมานั่งเป็นกองหลังคอยรับข้อมูลข่าวสาร)
จุดพลิกผันของเรื่องเกิดจากที่โลแมกซ์
พยายามจะประกอบวิทยุขึ้นมาเพื่อฟังข่าวสารจากโลกภายนอกว่ากำลังจะเกิดอะไร
ขึ้น
แต่โชคร้ายที่ผู้คุมญี่ปุ่นจับได้เสียก่อนและโลแมกซ์ก็ถูกนำตัวไปทรมานเพื่อ
ให้สารภาพว่าวิทยุที่เขานำมาใช้นั้นมีวัตถุประสงค์ในการติดต่อกับกลุ่มกบฏ
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ววิทยุดังกล่าวนั้นทำได้แค่ฟัง "ฟัง"
อย่างเดียวเท่านั้น
และการที่โลแมกซ์ถูกนำตัวไปทรมานอย่างโหดร้ายก็ทำให้เขาถึงกับฝังใจไปกับการ
โดนทารุณเพื่อคาดคั้นคำตอบ
การแสดงของโคลิน
เฟิร์ธนั้นคงอดปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเยี่ยมยอด
ในการแสดงเป็นคนที่บอบช้ำแบบฝังลึกจากภาวะสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตา
ความรู้สึกที่เขาแสดงออกมาจากภายในที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกปวดร้าว
บอบช้ำ จนเหมือนจิตใจของเขากำลังจะแตกสลาย
THE RAILWAY MAN
ได้ทิ้งท้ายให้ผู้ชมรู้สึกว่าแท้ที่จริงแล้วการเยียวยาสภาพจิตใจของตัวเอง
นั้นเกิดจากการปลดปล่อยความรู้สึกผิดของตนออกไป
ด้วยการให้อภัยกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น
และเมื่อผู้กระทำและผู้ถูกกระทำต่างฝ่ายต่างที่จะยอมเปิดใจและยอมรับผิดซึ่ง
กันและกัน
สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทั้งสองฝ่ายจะได้รับอิสรภาพทางจิตใจอย่างแท้
จริง
ยกให้ 4 คะแนนจาก 5 คะแนน
@พริตตี้ปลาสลิด
ติดตาม หนังใหม่ ตัวอย่างหนังใหม่ ดูหนัง เช็ครอบหนัง เรื่องย่อละคร ได้ที่
http://movie.sanook.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น