วิจารณ์หนังใหม่ BRICK MANSIONS
ภาพยนตร์ที่ พอล วอล์คเกอร์
แสดงเป็นตัวเอกเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเนื่องจากการประสบ
อุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่อปีก่อน
ด้วยกระแสที่โปรโมตอย่างโหมกระหน่ำในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้
แน่นอนว่าผลกระทบในการจากไปของผู้ชายคนนี้ทำให้คนทั้งโลกรู้สึก "เสียดาย"
นักแสดงหนังฮอลีวูดหน้าหล่อที่เขายังมีโอกาสโลดแล่นในวงการบันเทิงได้อีกยาวไกล
อย่างไรก็ตามถ้ามองมุมกลับแล้ว
อีกด้านหนึ่ง "กระแส" การตายของเขาก็ถูกฉวยจับเอามาเป็นข่าวหากินได้อยู่นาน
และการเกาะความฉาบฉวยดังกล่าว BRICK MANSIONS ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่โหนกระแสดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเร้าให้ผู้ชมเดินออกจากบ้านเพื่อมาตีตั๋วชมภาพยนตร์ ดูหนัง
ที่มาของ BRICK MANSIONS นั้นคือการหยิบเอาภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่อง District B13 ของผู้กำกับ ลุค เบซง เอามาทำใหม่ ซึ่งในงานต้นฉบับนั้นตอนออกฉายก็โดนโจมตีอยู่ไม่น้อยว่าการโปรโมตว่า หนังเรื่องนี้ไม่ใช้สลิง ไม่มีสตันท์แมนนั้นก๊อบปี้ "องค์บาก" มาชัดๆ แต่การเปิดตัวพระเอกอย่าง เดวิด เบลล์ เจ้า
พ่อแห่งวงการกีฬาปาร์คัวร์หรือฟรีรันนิ่งนั้น
ลีลาของเขาก็ทำให้หนังสัญชาติน้ำหอมเรื่องนี้ประสบความสำเร็จไปทั่วโลกและมี
ภาคต่อออกมาในปี 2009 ชื่อ District B13: Ultimatum
ใน BRICK MANSIONS บอกเล่าเรื่องราวภารกิจสุดอันตรายของ เดเมี่ยน (พอล วอล์คเกอร์)
เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ยึดมั่นในคุณธรรม
เขาต้องแฝงตัวเข้าไปเป็นสายลืบในชุมชนที่ถูกแยกออกมาเป็นเอกเทศซึ่งเต็มไป
ด้วยอาชญากรตัวฉกาจมากมายอย่าง "บริคแมนชั่น"
เพื่อออกตามหาระเบิดนิวตรอนที่ถูกหัวหน้าแกงค์ค้ายา เทรเมน (รีซ่า) ขโมยไป และเขาต้องกู้ระเบิดให้ได้ก่อนที่มันจะทำลายชุมชนแห่งนี้ให้พินาศ ระหว่างที่กำลังเดินทางเข้าไปในเมืองนี้เขาก็ได้พบกับ ลีโน่ (เดวิด เบลล์)
ชายหนุ่มที่รู้ทางหนีทีไล่ของเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดี
ประกอบกับที่เทรเมนจับตัวแฟนสาวของเขาไปเป็นตัวประกัน
ทั้งสองจึงต้องแทคทีมเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จ
ความโดดเด่นที่เราไม่อาจจะปฏิเสธก็คือลีลา
การต่อสู้อันล้ำเลิศสุดน่าสนใจเมื่อฉากต่อยตีนั้นถูกผสมผสานเข้ากับกีฬา
ปาร์คัวร์แล้วจึงได้ภาพที่ดูแปลกตาและแปลกใหม่
(แต่คงไม่แปลกนักสำหรับคนที่ดู District B13 มาก่อน)
แต่ในเวอร์ชั่นรีเมคนี้มีการเพิ่มเติมฉากแอ็คชั่นไล่ล่าบนรถ มีการใช้ CG
เข้ามาเพิ่มในเรื่อง ซึ่งมองเป็นข้อดีมันก็ช่วยทำให้ภาพดูยิ่งใหญ่ขึ้น
แต่เมื่อมองในมุมกลับกันแล้วตัวหนังกลับถูกลดทอนความ "ดิบ"
และงานสตันท์ลงไปเยอะมากเสียจนกลายเป็นหนังแอ็คชั่นฟอร์มรองธรรมดาๆ
เท่านั้น
กีฬาปาร์คัวร์
ซึ่งเป็นจุดขายของเรื่องนั้นมีความโดดเด่นมากเนื่องจากตัวเอกของเรื่อง
ต้องกระโดด วิ่ง ปีนป่ายไปตามสิ่งกีดขวางต่างๆ
ซึ่งกล้ามเนื้อขาและความยืดหยุ่นของร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้
แสดง ซึ่งตัวเดวิด เบลล์เองก็เป็นคนหนึ่งอีกเช่นกันที่มีส่วนในการ "คิดค้น"
กีฬาประเภทนี้ขึ้นมา ใน BRICK MANSIONS ทุกฉากที่เดวิด
เบลล์ปรากฏตัวพร้อมกับท่าทางการต่อสู้นั้นเขาจึงยิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชมได้
ดีมาก (แต่ก็สอบตกสนิทเช่นกันในฉากดราม่า)
ขณะเดียวกันพอล
วอล์คเกอร์เองก็ไม่ได้มีความน่าสนใจไปมากกว่าตัวเดวิด เบลล์สักเท่าไหร่
เขาก็ยังรับบทบาทเดิมๆ (แบบเดียวกับตอน Fast and Furious 2)
คือการเป็นตำรวจที่แฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มโจร และการแสดงของเขาก็ยัง
"แข็ง" คงเส้นคงวาอย่างเคยๆ และแน่นอนว่าฉากผาดโผนมากมายพี่พอล
ก็ต้องใช้แสตนอินเล่นแทน
น่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่งานกำกับของ คามิลล์ เดลาแมร์
อดีตมือตัดต่อลูกหม้อของลุค เบซง
ยังทำออกมาไม่ค่อยน่าปลื้มเท่าไหร่เนื่องจากการเล่าเรื่องของเขายังดู
ปราศจากความน่าสนใจประกอบกับความแบนราบของตัวละครที่เหมือนหลุดออกมาจากเกม
และภาพขาวกับดำของพระเอกกับวายร้าย
ซึ่งตลอดทั้งเรื่องนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกพลาดอะไรนักถ้าหากเกิดอาการวูบหลับ
ไปบ้าง
ความน่าสนใจประการเดียวก็คือช่วงหักมุมของเรื่องที่หนังพยายามจะพูดถึงการ
ใช้ "อำนาจรัฐเข้าควบคุมแบบเบ็ดเสร็จ" ในการควบคุมประชาชน
แต่ท้ายที่สุดแล้วการลุกฮือของคนตัวเล็ก
ก็พิสูจน์ให้เห็นอีกเช่นกันว่าความเป็นจริงแล้วความเลวร้ายทั้งหมดก็เกิดจาก
ความอยุติธรรมในสังคมเกิดจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนั่นเอง
ยกให้ 2 นิ้วหัวแม่โป้งจาก 5 นิ้ว
@พริตตี้ปลาสลิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น